วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทคนิคการแต่งหน้า

ขั้นตอน และ เทคนิค การแต่งหน้า อย่างถูกวิธี
เริ่มต้นจากการล้างหน้าให้สะอาด ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้างหน้าตอนเช้า เราก็ต้องใส่ใจ จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่เรายังมีครีมบำรุงที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ และเซลล์ผิวเก่าที่ร่างกายของเราได้ผลัดเปลี่ยนขณะนอนหลับ ดังนั้น การล้างหน้าให้สะอาดในตอนเช้าจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้หญิงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และต่อมาคือ การบำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์รวมทั้งการปกป้องใบหน้าจากแสงแดด ด้วยการใช้ซันบล๊อค และเริ่มเมคอัพกันได้เลยค่ะ 1. ลงคอนซีลเลอร์ เพื่อปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น ด้วยการใช้ปลายนิ้วแตะคอนซีลเลอร์ใต้ตา แล้วค่อยๆเกลี่ยให้ชิดขนตาล่าง ให้ยาวตลอดจากหัวตาถึงปลายตา เพื่อให้เกิดความกลมกลื่น หากคุณเป็นสาวผิวขาว ควรที่จะเลือกคอนซีลเลอร์โทนเหลืองที่ดูสว่าง แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวผิวคล้ำหรือรอบตาคล้ำมาก เลือกคอนซีลเลอร์ที่ออกชมพูเล็กน้อยค่ะ 2. รองพื้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ตั้งแต่ครีม น้ำ เจล น้ำมันและแท่ง คุณควรจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่นผิวมันเลือกชนิดบางเบา ในรูปของเจลหรือน้ำ หากผิวแห้งมาก ก็อาจจะเลือกใช้รองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือถ้าหากว่าผิวหน้าเป็นสิว ก็ควรเลือกรองพื้นชนิด Oil Free 3. แป้ง มีทั้งแป้งฝุ่น แป้งพัฟฟ์และแป้งรองพื้น แป้งที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก็คือ แป้งฝุ่น แต่หากว่าคุณต้องการใช้แป้งในการแต่งเติมและพกพาสะดวก ก็ควรใช้แป้งพัฟฟ์เอาติดกระเป๋าไว้ ส่วนแป้งรองพื้นนับว่าเป็นแป้งที่สะดวกใช้เช่นกัน แต่มีจุดด้อยที่แป้งรองพื้นจะมีเนื้อหนาจะทำให้แต่งหน้าได้ลำบาก เพราะอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร 4. แต่งคิ้วให้ได้รูป ด้วยการเขียนคิ้วให้เป็นรูป จากนั้นใช้แปรงปัดขนคิ้ว ปัดให้ขนตั้งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบและถ้าอยากให้ขนคิ้วอยู่คงรูป ก็อาจจะใช้ปลายนิ้วแตะปิโตรเลี่ยมเจลลี่เบาๆแล้วไล้ที่ขนคิ้วให้อยู่คงรูปเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ 5. อายแชโดว์ แต่งแต้มเปลือกตา สาวๆรุ่นเล็กอาจจะดูสวยได้แค่ปัดเปลือกตาด้วยสีอ่อนๆ แต่หากต้องการให้เปลือกตาสวยอย่างครบถ้วนและดูดีมีมิติแล้ว ก็ควรจะเลือกแต่งเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ 3 สี ที่มักจะถูกจับเป็นเซตในตลับ โดยใช้สีอ่อนสุดไล้ให้ทั่วเปลือกตา ด้วยแปรงสำหรับอายแชโดว์โดยเฉพาะ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีที่สองที่มีความเข้มปานกลาง ทาเปลือกตาช่วงรอยพับ หรือเวลาที่เราหลับตาแล้วตานูนออกมานั่นล่ะ ทาให้ทั่วจนถึงขอบขนตา จากนั้นค่อยลงสีที่สาม ที่มีความเข้มมากกว่าสีอื่นใช้ปลายของฟองน้ำที่มีในตลับ เขียนเป็นเส้นให้ติดขอบขนตา 6. อายไลเนอร์ ขั้นตอนนี้อาจจะไม่จำเป็น หากคุณต้องการให้การแต่งหน้าของคุณดูเป็นธรรมชาติ การเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ให้ดูสวยงามก็คือ เขียนให้ชิดกับขอบขนตาและอาจจะเขียนเฉพาะขอบตาบนก็ได้ ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามือของคุณนั้นแม่นพอ 7. ดัดขนตาและปัดมาสคาร่า การปัดมาสคาร่าให้ขนตาดูสวย งอนงามเป็นแผงนั้นควรจะทำควบคู่ไปกับการดัดขนตา และควรจะเลือกมาสคาร่าชนิดกันน้ำ เพื่อจะได้ไม่เลอะเทอะ หรือจะเลือกมาสคาร่าชนิดใสก็ได้ หากต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น 8. บลัชออน เช่นเดียวกับอายแชโดว์ บลัชออนมีทั้งชนิดฝุ่น ครีมหรือน้ำ วิธีการทาบลัชออนให้สวยก็คือ ควรจะยิ้มเต็มที่เวลาที่ทา แล้วลงมือแต้มบลัชออนตรงพวงแก้มที่เปล่งที่สุด แล้วไล้เฉียงสูงขึ้นไปเล็กน้อยจนจรดตีนผม และหากคุณเลือกใช้บลัชอนชนิดฝุ่นก็ควรจะใช้คู่กับแปรงปัดแก้มปลายกลมค่อนข้างใหญ่ จะปัดได้ดูสวยงามกลมกลืนกว่าแปรงปัดแก้มอันเล็กที่มาคู่กับบลัชออนในตลับ 9. เขียนขอบปาก สีดินสอเขียนขอบปากควรจะเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับสีลิปสติก การเขียนขอบปากจะทำให้ทาลิปสติกได้สวยขึ้นเพราะริมฝีปากจะดูได้รูปมากขึ้น หรือถ้าหาดินสอเขียนขอบปากมีสีเข้ากันกับลิปสติกไม่ได้ ก็ควรจะเลือกใช้ดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับริมฝีปากของคุณที่สุดเพื่อความกลมกลืนไม่หลอกตา 10. ลิปสติก เพื่อให้ได้ผลดี ควรทาลิปสติกด้วยพู่กันมากกว่าการใช้แท่งลิปสติกทาลงบนริมฝีปากเลย เพราะการใช้พู่กันจะทำให้สีของลิปสติกกลืนเข้ากับริมฝีปากได้ดีขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เมื่อทาแล้วจึงค่อยเพิ่มความมันวาวด้วยลิปกลอส หากต้องการให้ปากแลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ควรระวังไม่ให้มากหรือหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นปากมันเยิ้มแทน

แต่งตา และ ปาก ให้ลงตัว
Step 1 : ลงคอนซีลเลอร์ลบรอยคล้ำใต้ตาตามด้วยรองพื้นและแป้งฝุ่นให้ทั่วใบหน้า จากนั้นลงครีมบลัชเฉดสีพีชบริเวณข้างแก้มแล้วใช้นิ้วมือไล้ให้จางเข้ามาด้านหน้าแก้ม หลังจากนั้นจึงลงครีมบลัชเฉดสีชมพูบริเวณด้านหน้าแก้มแล้วเกลี่ยออกด้านข้างให้กลมกลืน
Step 2 : ลงอายแชโดว์สีชมพูอ่อนบริเวณหางตาแล้วเกลี่ยขึ้นไปให้ทั่วเปลือกตาบน
Step 3 : ลงอายแชโดว์เฉดสีน้ำเงินอมม่วงให้ทั่วเปลือกตาล่าง แล้วไล้ขึ้นไปให้เหลื่อมกับอายแชโดว์สีชมพูเล็กน้อย Step 4 : วาดขอบตาบนและล่าง ด้วยฟลูอิดไลเนอร์สีดำเทา โดยวาดขอบตาบน ตั้งแต่หัวตาจรดหางตา ขอบตาล่างตั้งแต่หางตาถึงกึ่งกลางตา แล้วทาทับด้วยอายแชโดว์เฉดสีเขียวเข้ม จากนั้นลงอายแชโดว์สีทองประกายมุกบริเวณหัวตาเพื่อเพิ่มความสดใส หลังจากนั้นจึงดัดขนตาให้งอนงามแล้วปัดทับด้วยมาสคาร่าสีน้ำทะเล
Step 5 : ริมฝีปากอิ่มสวยด้วยลิปสติกและลิปกลอสโทนสีส้มธรรมชาติ
TIPS เคล็ดลับการแต่งตาด้วยอายแชโดว์สีเข้ม 1. อายแชโดว์สีเข้มมักจะทำให้ใบหน้าเลอะง่าย ดังนั้นจึงควรป้องกันด้วยการลงแป้งฝุ่นบริเวณใต้ตาและใช้แปรงขนาดใหญ่ปัดทิ้งเมื่อแต่งตาเสร็จ 2. ควรใช้แปรงแต่งตาขนาดกลางและมีขนแปรงที่แน่นจะช่วยให้เกลี่ยสีได้สม่ำเสมอกว่าขนแปรงที่อ่อนนุ่ม 3. หลังจากใช้แปรงแตะอายแชโดว์แล้วให้สลัดแปรงเบาๆ จะช่วยให้อายแชโดว์กระจายตัวและได้น้ำหนักสีที่พอเหมาะ 4. ค่อยๆ เกลี่ยสีให้มีความเข้มทีละ Step จะช่วยให้ได้น้ำหนักสีตามความต้องการของผู้ใช้ เพราะหากลงน้ำหนักสีมากไปในคราวเดียวจะทำให้แก้ไขได้ยาก
Khowledge การใช้สีเข้มจะช่วยเพิ่มความสวยหรูให้ใบหน้า สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว และเหมาะสำหรับงานกลางคืนมากกว่ากลางวัน โดยใช้สีเข้มสร้างความโดดเด่น ให้แก่ดวงตาหรือริมฝีปาก (ตาเข้ม – ปากอ่อน หรือ ตาอ่อน – ปากเข้ม) ส่วนพวงแก้มให้ลงน้ำหนักสีเข้มกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อไม่ให้พวงแก้มดูจืดชืดเกินไป

มาสคาร่า
มีเคล็ดลับความรู้ จากแอนนี่ คารูลโล่ รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ของเอสเต ลอเดอร์ มาเผยให้คุณสาวๆ ได้รู้และสามารถเลือกมาสคาร่า ให้เหมาะกับดวงตาของคุณได้
ข้อแรก ที่สาวๆ พึงจำ คือ “มาสคาร่าช่วยให้ดวงตาคุณดูสวยขึ้น” เพราะดวงตาเป็นจุดสนใจแรกของใบหน้า เมื่อใดที่คุณปัดมาสคาร่า คือ การเพิ่มความเข้มให้ดวงตา ขนตาจะดูหนาขึ้น และเย้ายวนมากขึ้น ในการเลือกซื้อมาสคาร่า สิ่งที่ต้องพิจารณาอันดับแรกคือ คุณต้องทราบก่อนว่า ขนตาของคุณมีลักษณะใด และอยากให้ขนตามีลุคแบบใด เช่น ถ้าคุณขนตาสั้น แต่หนา แนะนำให้ใช้มาสคาร่าแบบที่ต่อขนตาให้ยาวขึ้น (Lengthening mascara) หรือถ้าขนตายาว แต่บาง แนะนำให้ใช้มาสคาร่าที่ทำให้ดูหนา เข้มขึ้น (Thickening mascara)
เนื่องจากมาสคาร่าในแต่ละสูตรจะมีระดับของแว็กซ์ (ขี้ผึ้ง) และความเข้มข้นของเม็ดสีที่ต่างกัน จึงต้องอ่านฉลากให้ละเอียดกันหน่อย เช่นเดียวกันกับการเลือกเฉดสี อย่างแค่สีดำ ก็มีตั้งหลายเฉด ทั้งดำน้ำตาล, ดำเทา, ดำเข้ม และแต่ละเฉดก็ให้ผลลัพธ์ของดวงตาที่สวยต่างกันด้วย ของอย่างนี้ต้องลองให้เห็นกับตา ถึงจะทราบค่ะว่าสีไหนเหมาะกับดวงตาและผิวของคุณ เรื่องแปรงปัด ก็เป็นอีกประการที่ต้องพิจารณา บางคนคิดว่าถ้าขนตาหนา ต้องใช้แปรงใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว คุณต้องการแปรงที่กว้างและหมุนเป็นเกลียวต่างหาก เพื่อให้เนื้อมาสคาร่าเกาะกับขนแปรงมากพอ และเมื่อปัดก็เคลือบขนตาได้ทั่วทุกเส้น หรือสำหรับมาสคาร่าที่ต่อขนตาให้ยาว แปรงปัดแบบขนแปรงถี่ๆ จะทำให้ปัดได้แม่นยำขึ้น และเคลือบบางๆ ไม่เป็นก้อน
สำหรับคุณสาวๆ ที่ชอบใช้มาสคาร่ากันน้ำ ต้องบอกไว้ก่อนว่า มาสคาร่ากันน้ำทุกยี่ห้อจะมีสารทำละลาย (solvents) ซึ่งจะทำให้ขนตาดูไม่หนาเข้ม และบางทีอาจทำให้ขนตาแห้งกรอบด้วย
ซึ่งถ้ารู้สึกว่าขนตาเริ่มแห้งกรอบ แนะนำให้ใช้ conditioner บำรุงขนตา หรือลง Primer ก่อนปัด จะทำให้มาสคาร่ากันน้ำติดทนขึ้น นอกจากวิธีเลือกซื้อมาสคาร่าแล้ว แอนนี่ คารูลโล่ มีวิธีการใช้งานมาแนะนำปิดท้าย
* ข้อแรก วิธีหลีกเลี่ยงมาสคาร่าเกาะเป็นก้อน เลอะเวลาปัด คือ เช็ดหรือปาดเนื้อมาสคาร่าส่วนเกินออกจากแปรงปัด จากนั้นอยู่ที่วิธีการปัด คือ ต้องหมุนแปรงปัดให้ครบรอบ จะเลี่ยงการเกาะเป็นก้อนได้ดี
และสิ่งต้องห้าม คือ ปั๊มแปรงมาสคาร่าเข้า-ออกจากแท่ง ก่อนปัด เพราะจริงๆ แล้ว เราจะได้แต่ลมเข้าไปทำให้เนื้อมาสคาร่าแห้งเร็วขึ้น เวลาใช้ก็จะดูเกรอะ เลอะเป็นก้อนหนักขึ้นกว่าเดิมอีก
* ข้อสอง คือ อย่าใช้มาสคาร่าร่วมกับคนอื่น แต่ควรเปลี่ยนแท่งใหม่ทุกๆ 3 เดือน เพราะแบคทีเรีย สามารถเจริญเติบโตในหลอดได้
รู้จัก ”มาสคาร่า” อุปกรณ์สำคัญเพื่อความสวยของทุกๆ เทรนด์แล้ว ไม่ว่าซีซั่นจะเปลี่ยนไปกี่สีสัน ดวงตาและขนตาคุณก็จะสวยเสมอ โดดเด่นไม่มีตกเทรนด์อย่างแน่นอน

วิธี กรีด อายไลเนอร์
การเขียนอายไลเนอร์นั้น หากเป็นการแต่งหน้าธรรมดา ก็เขียนแต่เพียงขอบตาบนก็พอ เพื่อให้ขอบตาชัดขึ้น ทำให้ดูตากลมโตขี้นค่ะ
ก่อนอื่นหลับตาข้างที่ต้องการจะเขียน
สำหรับขอบตาบนค่อย ๆ ลากเส้นอายไลเนอร์จากหัวตา ไม่ต้องติดหัวตามากนะคะ เว้นระยะไว้นิดนึง หรือ ลากมาจากเส้นขอบขนตา มายังหางตา และเขียนให้ติดขนตาให้มากทีสุด
เมื่อถึงหางตาก็ตวัดอายไลเนอร์ขั้นนิดนึง เพื่อให้หางตาดูสวยขึ้น
หากมีการเลอะของอายไลเนอร์ ให้ใช้คัดเติลบัชเช็ดอายไลเนอร์ที่เลอะออกได้ค่ะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะคะ ก่อนที่อายไลเนอร์จะแห้ง
เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีดวงตาคู่สวยได้แล้วค่ะ ทริปเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสาว ๆ นะคะ สำหรับสาว ๆ ที่มีตาโตอยู่แล้วนั้น กรีดเพียงบาง ๆ ก็พอค่ะ ตาจะดูสวยซึ้งขึ้น แต่สาว ๆ ที่มีดวงดาเล็ก หรือสาวหมวยก็เขียนเป็นเส้นหนาขึ้นได้ค่ะ เพื่อให้ดวงตาดูโตขึ้น

กรีดอายไลเนอร์แบบไหนดี
สำหรับสาว ๆ หลาย ๆ คน คงจะมีปัญหาการกรีดอายไลเนอร์ว่าจะกรีดแบบไหนดี เพราะบางคนอาจจะเบื่อกับการกรีดอายไลเนอร์แบบธรรมดา วันนี้เลยเอารูปแบบการแต่งตามาแนะนำกันค่ะ
อยากให้ดวงตาสวยซึ้ง...ลองกรีดอายไลเนอร์เส้นคม ๆ แล้วตวัดขางตาขึ้นเล็กน้อย แล้วปัดมาสคาร่าที่เพิ่มความยาวของขนตาและความหนาดูซิคะ
อยากให้ตาดูโฉบเฉี่ยว...ต้องนี่เลยค่ะ ลากอายไลเนอร์ที่หางตาเฉียงขึ้น และกรีดอายไลเนอร์ให้หนาขึ้น หรืออาจใช้อายไลเนอร์สีสันสดใสเพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยวขึ้นก็ได้ค่ะ
หากคุณอยากให้ดวงตาดูคมเข้ม ก็ลองกรีดอายไลเนอร์เส้นหนาขึ้นดูซิคะ จะช่วยให้ดวงตาคุณดูเด่นและดูคมเข้มขึ้นได้
สำหรับขอบตาล่างนั้น อาจเขียนมาซักครึ่งตาเพื่อให้ตาดูสวยขึ้น

ขนตาสวยเหมือนตุ๊กตา

ต่อไปเราจะเลิกอิจฉาขนตาที่สวยเรียงเส้นของตุ๊กตาแสนสวยกันได้แล้ว เพราะเราก็มีขนตาสวยแบบนั้นได้เหมือนกัน มาดูกันดีกว่าค่ะว่าทริปคืออะไร
1. แปลงขนตาเพราะถ้าขนตาไม่เรียงตรง จะทำให้ขนตา สวยเหมือนตุ๊กตาไม่ได้ ดังนั้นควรแปรงขน ตาก่อน2. ปัดเบสมาสคาร่าตรงโคนขนตาดัดขนตาแล้วใช้เบสมาสคาร่าที่ทำให้ขนตางอนปัดเฉพาะโคนขนตา ยกขนตาขึ้นจะได้งอน3. เพิ่มวอลลุ่มและแยกเส้นขนตาปัดมาสคาร่าเพิ่มวอลลุ่ม และปัดมาสคาร่า แบบแยกเส้นขนตาด้วย ปัดจากโคนยกขึ้นด้านบน4. แปรงขนตาแปรงขนตา เพื่อให้ขนตาที่ติดกันหลุด ออกจากกัน และไม่ให้มาสคาร่าดูหนาเกินไป5. แก้ปัญหาขนตาติดกันด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้าดัดขนตาด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้า ไม่ให้ขนตาติดกัน และทำให้ขนตางอนสวยยิ่งขึ้น6. ใช้แหนบจัดเรียงขนตาใช้แหนบคีบจัดปลายขนตาเพื่อให้ขนตา ไม่ติดกัน แต่ระวังอย่าให้โดนตาล่ะ


มารู้จักกับรองพื้น
รองพื้นชนิดน้ำ : ใช้ง่ายกว่ารองพื้นทุกชนิด และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยจะไม่เติมแป้งฝุ่นเป็นการตบท้ายอีกครั้งหรือไม่ก็ได้ รองพื้นแบบผสม : เป็นความพยายามของบริษัทเครื่องสำอางที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง รองพื้นประเภทนี้หากไม่ผสมน้ำ จะมีคุณสมบัติเหมือนแป้ง แต่ถ้าผสมน้ำก็จะทำหน้าที่เป็นรองพื้นที่ดี เหมาะกับคนที่ต้องการปกปิดผิวหน้ากว่ารองพื้นชนิดน้ำ รองพื้นแบบแท่ง : รองพื้นชนิดนี้จะค่อนข้างข้นหนา เหมาะแก่การใช้ปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำ หรือจุดด่างดำต่างๆ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ปรับสีผิว : เหมาะกับคนที่สภาพผิวค่อนข้างดี และไม่ต้องการใช้รองพื้นหนาๆที่อยากให้วันหยุดดูสวยง่ายๆแบบสบายๆ ขั้นตอนใช้รองพื้นให้ถูกวิธี ขั้นตอนที่หนึ่ง หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าอย่างหมดจดแล้ว เริ่มแรกจะใช้นิ้วกลาง ไม้ปาดครีมหรือฟองน้ำก็ได้ทั้งนั้น ป้ายรองพื้นบนใบหน้า 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก สันจมูก คอ คาง และสองข้างแก้ม และอีกหนึ่งจุดที่สำคัญไม่แพ้กันคือ บริเวณลำคอใต้คาง ขั้นตอนที่สอง ใช้นิ้วกลางทั้งสองข้างเกลี่ยอย่างรวดเร็วและเบามือให้เนียนนวลทั่วผิวหน้าและคอ โดยลูบไปในทิศทางออกจากตรงกลางหน้า ต้องพยายามเกลี่ยให้ทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรองพื้นกระจุกหนาอยู่ในบางส่วน ขั้นตอนที่สาม หากเผลอลงรองพื้นหนาเกินไป ให้ใช้ฟองน้ำปาดออกเบาๆ บริเวณที่รองพื้นมักไปกองอยู่มากคือ รอบจมูก ใต้ตาและใต้คาง ใช้ฟองน้ำที่ใช้จะผสมน้ำเล็กน้อยหรือแบบแห้งก็ได้ค่ะ

มารู้จัก บลัชออน ให้มากชึ้น
ถ้าพูดถึง บลัชออน หลายๆคนอาจจะคุ้นหูกันเพราะเคยได้ยินเรียกขานมาอย่างนั้น แต่ในทางเทคนิคแล้ว เขาเรียกกันว่าบลัชเชอร์ ซึ่งมาจากคำว่า บลับ (blush) อันแปลว่าอาการหน้าแดงแก้มแดงเพราะเลือดสาวฉีดขึ้นหน้าด้วยความอายขวยเขิน แต่เดิมนั้นบลัชยังถูกใช้เป็นเทคนิคในการแต่งหน้าให้ได้รูป ดูมีโหนกแก้ม สันแก้ม ซึ่งผลที่ได้กลับดูไม่เป็นธรรมชาตินัก ที่จริงก็ควรใช้บลัชตรงตามความหมายเดิมดีกว่า นั่นคือการมอบแก้มระเรื่อเป็นสาวอ่อนวัยสุขภาพดี เวลาเลือกสีบลัช จงจำแนกให้ออกว่า สีพีชกับสีชมพูต่างกันอย่างไร เพราะสีเหล่านี้จะช่วยเน้นโทนสีผิวตามธรรมชาติของคุณและอย่าตัดสินสีจากบลัชใต้ตลับ หรือกะบะตัวอย่าง ให้ลองแต่งที่พวงแก้มหรือเนียนแก้มของคุณให้เห็นจะๆไปเลย ข้อแนะนำในการเลือกสีบลัชเชอร์ให้เข้าสีผิวหน้า - ผมสีอ่อน : (สีน้ำตาล)/ ผิวสีอ่อน (ขาวเหลือหรือขาวอมชมพู) ใช้บลัชสีชมพูอ่อน - ผมสีอ่อน/ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีชมพูอมน้ำตาลเหลือง (Tawny Pink) - ผมสีเข้า(สีดำ) / ผิวสีอ่อน : ใช้บลัชสีชมพูกุหลาบ - ผมสีเข้ม /ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีชมพูอมน้ำตาล - ถ้าคุณทำสีผมเป็นสีแดง สีส้ม น้ำตาลอมส้ม แต่ผิวสีอ่อน : ใช้บลัชสีพีชอ่อน - ถ้าคุณทำสีผมเป็นสีแดง สีส้ม น้ำตาลอมส้ม แต่ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีพีชเข้ม - ผมสีเข้ม /ผิวเดิมสีอ่อน แต่ไปอาบแดดจนเป็นสีทอง : ใช้บลัชสีน้ำตาลเข้ม - ผมดำ /ผิวดำ : ใช้บลัชสีอิฐ อย่างไรก็ตาม กฎทั่วไปในการเลือกบลัชเชอร์คือเลือกเฉดสีที่เข้ากันได้ดีกับโทนสีผิวของคุณ คุณอาจเลือกสีที่อ่อนกว่า หรือเข้มกว่าก็ได้ตามเทรนด์แฟชั่นประเภทของบลัชเชอร์ 1. บลัชเชอร์แบบฝุ่น ควรใช้ทากับแก้มที่ลงรองพื้น และแป้งฝุ่นผัดหน้าแล้ว วิธีการใช้บลัชเชอร์แบบนี้ให้ใช้แปรงปัดแก้มขนนุ่มขนาดใหญ่คลุมบลัชก่อนแล้วเคาะให้ผงบลัชเชอร์กระจายตัวก่อนทาแก้ม ถ้าคุณเผลอทาบลัชเชอร์บนแก้มมากเกินไป ใช้หลังมือของคุณแตะบลัชเชอร์ออกเบาๆ ยอมเสียบลัชทิ้งไปสักเล็กน้อยดีกว่าทาเสียจนแก้มแดงปลั่งเหมือนโดนตบ ข้อแนะนำที่ดีก็คือ ใช้แต่น้อยก่อน ถ้าคิดว่ายังมองไม่เห็น ก็ค่อยเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่า เริ่มไล้สีตรงส่วนที่กินบริเวณมากที่สุดของแก้มคุณ ก็คือใต้โหนกแก้ม หรือสันแก้มตรงตำแหน่งใต้ตา จากนั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และปัดบลัชไล่ขึ้นตามแนวสันแก้มขึ้นไปหาขมับ เกลี่ยสีให้กลมกลืนกับสีผิวขึ้นไปหาแนวตีนผม เพื่อให้ละเมียดละไมเป็นธรรมชาติ 2. บลัชแบบครีม บลัชเนื้อครีมเรียกได้ว่าเป็นการแหกกฎความงามแบบดั้งเดิม เพราะต้องใช้ปลายนิ้วทาแทนที่จะเป็นแปรง ซึ่งต้องทาลงบนแก้มที่ลงรองพื้นแล้ว แต่ยังไม่ลงแป้งฝุ่น บลัชชนิดครีมมีคุณสมบัติในการมอบความเปล่งปลั่งสดใสให้แก่ทุกสภาพผิว วิธีใช้ก็คือแตะบลัชเชอร์เนื้อครีมสองสามจุดลงบนแก้มของคุณ จากพวงแก้มขึ้นไปหาโหนกแก้ม ใช้ปลายนิ้วของคุณเกลี่ยไล้ทาให้กลมกลืน เพิ่มเติมลงไปอีกเพื่อให้ได้ลักษณะตามที่คุณต้องการ คุณอาจใช้ฟองน้ำแต้มรองพื้นมาช่วยเกลี่ยผสมกับบลัชเชอร์ให้กลมกลืนได้ 3. บลัชเชอร์แบบเหลว มีเนื้ออ่อนใสเป็นน้ำ ซึ่งจะว่าไปแล้วทำให้นึกถึงที่ทาแก้มในยุคโบราณ วิธีใช้ก็เหมือนกับการใช้บลัชแบบครีม แต้มสองสามจุดบนแก้ม และแตะๆๆๆเพื่อไล้สีให้กลมกลืน แต่การใช้บลัชเชอร์แบบเหลวคุณจะทาแป้งฝุ่นก่อนก็ได้ และเมื่อแตะบลัชเชอร์เสร็จแล้ว อาจใช้แป้งฝุ่นไล้ทับอีกครั้งให้ดูระเรื่อเป็นธรรมชาติ วิธีการใช้บลัชเชอร์โดยทั่วไป ควรเริ่มจากการรู้จักรูปหน้าของตัวเอง ดูว่าโหนกแก้มสูงไปหรือว่าหน้าแบนไป และกฎสำคัญก็คือทุกๆอย่างให้ง่ายเข้าไว้ พร้อมกับลงทุนซื้อแปรงปัดแก้มดี ลองกันดูค่ะ 1. จงไปยืนหน้ากระจก และยิ้ม เอามือแตะแก้มบริเวณที่ต้องโดนหมอนเวลานอน จุดนั้นแหละจุดเริ่ม 2. ปัดสีบลัชวนเป็นวง อย่าลืมเคาะแปรงหนึ่งทีก่อนทาบลัช 3. หยุดยิ้มได้แล้วค่ะ ถึงเวลาปัดแปรงขึ้นปัดแปรงลง 4. ถ้าต้องการใบหน้าของเด็กสาวอ่อนวัย แตะแปรงบลัชเชอร์ไปตรงหน้าผาก สันจมูกและคาง เพื่อช่วยสะท้อนแสง สำหรับคนที่คิดว่าบลัชเชอร์แบบแป้งไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะถือแปรงไม่ถนัด ก็ใช้แบบครีมหรือแบบเหลว เพราะปลายนิ้วจะช่วยให้คุณได้สัมผัสและสื่อสารกับผิวแก้ม ทว่าสิ่งสำคัญคือการเกลี่ยหรือแตะๆๆ ไม่ใช่ปาดเสียจนเป็นทางม้าลาย อย่าลืมว่าบลัชแบบครีมหรือแบบเหลวสมควรไล้แป้งฝุ่นทับเพื่อทำให้ดูว่าแก้มของคุณเปล่งปลั่ง แดงระเรื่อมาจากเลือดฝาดในแก้มสาว มีผลิตภัณฑ์ประเภทบลัชเชอร์อีกชนิดที่ให้ความงดงามเปล่งปลั่ง โดยไม่ใช่สีแดงระเรื่อนั่นคือผลิตภัณฑ์บรอนเซอร์ที่จะทำให้ใบหน้าของคุณดูเรืองรอง วาวใสเหมือนไปโดนแดดมา เวลาเลือกสี อย่าใช้บรอนเซอร์ที่มีสีเข้มกว่าเฉดผิวสีแทนตามธรรมชาติของคุณ บรอนเซอร์มีเนื้อผลิตหลายแบบ อย่างเป็นแป้ง เป็นเจล เป็นครีม ทุกชนิดล้วนทำให้แก้มของคุณดูระเรื่อเรืองรอง และเซ็กซี่ อย่างไรก็ดี ถ้าไม่ใช่บรอนเซอร์แบบแป้ง ซึ่งต้องใช้ร่วมกับพัฟหรือแปรงปัดแล้ว นั่นหมายความว่าคุณต้องพึ่งปลายนิ้ว ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อบรอนเซอร์แห้งแล้วแก้มยังไม่แวววาวพอทั้งที่ความเข้มของสีเป็นตามที่ต้องการ วาสลีนคือตัวช่วยชั้นดีให้คุณทาทับเพิ่มความวาวใส

วัยรุ่น...แต่งหน้าอย่างไรดี..
วัยรุ่นโดยมากแล้วมักจะเริ่มแต่งหน้าบางๆตั้งแต่อายุ 12-13 เมื่อเริ่มรู้สึกห่วงความสวยความงามของตนเอง ดังนั้นการแต่งหน้าสำหรับวัยรุ่นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือการแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติและดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรแต่งจนเข้มกลายเป็นงิ้วจนเกินวัย และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคามากจนเกินไป ผลิตภัณฑ์ราคาถูกก็สามารถทำให้เราดูดีได้ Foundation สำหรับวัยรุ่นแล้วยังไม่จำเป็นมากนัก เพราะนอกจากจะทำให้อุดตันรูขุมขนแล้วก็ยังทำให้ดูโอเวอร์อีกต่างหากน่ะสิ มองข้ามครีมรองพื้นไปเลยและใช้เฉพาะคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดรอยสิว และปัดแป้งฝุ่นเพียงเล็กน้อยให้ทั่วใบหน้า แต่ก็ไม่หมายความว่าน้องๆวัยรุ่นไม่สามารถที่จะใช้รองพื้นได้เลยนะคะ หากต้องการจะใช้ ให้ใช้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นค่ะ และแนะนำให้ใช้เป็นชนิดน้ำ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด และที่สำคัญที่สุดนะคะ รองพื้นควรจะต้องทำเป็นอย่างแรกก่อนใช้เครื่องสำอางชนิดอื่นๆค่ะ Concealer เราต้องรู้จักวิธีซ่อนปัญหาของผิวหน้าของเราเสียก่อน โดยเฉพาะสิว ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทาให้ทั่วใบหน้าและให้ทาซ้ำกับรอยด่างดำและสิว หลังจากนั้นปล่อยให้ซึมลงผิวค่ะ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อผิวส่วนนั้นจะได้เรียบเนียนและไม่ขรุขระ ให้แต้มคอนซีลเลอร์ลงไปตรงจุดด่างดำและสิวเล็กน้อย ทำอย่างเบาๆและเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ เลือกคอนซีลเลอร์สีที่ไม่ต่างจากผิวหน้าเรามากนัก หรือสีเข้มกว่าใบหน้าเราเล็กน้อย หลังจากนั้นให้ลงแป้ง ทางที่ดีที่สุดควรเป็นสีโทนเหลืองค่ะ และอย่าลืมปัดแป้งที่เป็นคราบที่ติดไปกับคอนซีลเลอร์ด้วยนะคะ ไม่งั้นจะเป็นด่างๆ Eye Make-up ทาตาแค่เพียงบางๆ และไม่ควรใช้สีเมทัลลิคที่กำลังอินเทรนด์อยู่นี่ล่ะค่ะ หรือจะเป็นสีที่มีประกาย เพราะกากจากประกายจะเข้าตาเราได้และทำให้เกิดการระคายเคือง สำหรับอายแชโดว์นั้นไม่จำเป็นว่าต้องเข้ากับสีดวงตาของเรา สำหรับวัยรุ่นไทยควรใช้สีโทนฟ้าและน้ำตาล หากจะปัดมาสคาร่า ใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเข้มจะเหมาะที่สุดกับผมสีดำ และมาสคาร่ากันน้ำก็ไม่จำเป็นต้องใช้หากเราไม่ได้เล่นกีฬาหรือต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงแม้ว่ามาสคาร่าชนิดนี้จะติดทนแต่เวลาเช็ดออกก็ยากเหมือนกันค่ะ และสำหรับวัยรุ่นการใช้เครื่องสำอางน้อยชิ้นจะดีกว่าและไม่ต้องกังวลกับเรื่องน่ารำคาญใจเกี่ยวกับพวกมันอีกด้วย หากจะใช้อายไลเนอร์ ใช้ชนิดที่เป็นดินสอจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เป็นชนิดน้ำ ควรหัดเขียนขอบตาอย่างระมัดระวัง และมือควรจะนิ่งเพื่อให้ได้เส้นที่ตรง และถ้าทาแล้วสีเข้มเกินไปให้ค่อยๆเช็ดออกด้วยกระดาษทิชชู่ค่ะ Blush ชนิดที่เป็นน้ำและแท่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเพราะว่าง่ายในการใช้ และเรียบเนียนอีกด้วย สีชมพูและสีส้มพีชเข้าได้กับทุกโทนสีผิว ให้ปัดตรงโหนกแก้มโดยการยิ้มจะทำให้เราเห็นโหนกแก้มชัดเจน และปัดออกไปตามไรผมด้านข้างค่ะ Lips ใช้ลิปกลอสเพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เย้ายวน หากต้องการใช้ลิปสติกสี ในเวลากลางคืนลองใช้สีที่อ่อนๆ หากต้องการเพิ่มความมันวาวให้ทาลิปกลอสทับอีกชั้นหนึ่ง และควรมีลิปกลอสติดตัวอยู่เสมอค่ะ การเลือกใช้สีลิปสติกให้เข้ากับการแต่งหน้า ควรเลือกดูในเวลากลางวันที่สว่างๆ และควรลบสีที่คิดว่าเข้มเกินไปออกบ้างนะคะ เพราะวัยรุ่นไม่เหมาะกับสีเข้มๆ และหากเคยมีปัญหาระคายเคืองผิวมาแล้ว ควรระงับการใช้เครื่องสำอางไปสักพักจนกว่าจะพบว่าเกิดจากอะไร และหาทางแก้ปัญหาซะ For That Look 1. ให้ทาขอบตาบนและล่างด้วยสีเทาหรือสีดำ ด้วยดินสอเขียนขอบตา (หรือใช้อายแชโดว์แทนก็ได้) ให้ขอบตาบนดูหนากว่าขอบตาล่าง และอย่าทำให้เลอะเทอะ เส้นควรเนี๊ยบและคม สำหรับดินสอเขียนขอบตาชนิดน้ำจะใช้ยากกว่าและมือต้องมั่นคงพอสมควร แต่หากคุณทำได้ก็ควรใช้ค่ะ 2. ทาปากด้วนสีชมพูอ่อน ทำให้คุณดูเหมือนเจ้าหญิงยังไงยังงั้น และหากจะใช้ลิปสติกสีชมพู ควรงดการเขียนขอบปากค่ะ เพื่อความสมดุล หากคุณมีผิวโทนเหลือง และไม่ต้องการจะใช้สีชมพูในการแต่งหน้า ควรลองสีพีชหรือสีเบจในการทาปากแทน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น