วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทคนิคการแต่งหน้า

ขั้นตอน และ เทคนิค การแต่งหน้า อย่างถูกวิธี
เริ่มต้นจากการล้างหน้าให้สะอาด ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้างหน้าตอนเช้า เราก็ต้องใส่ใจ จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่เรายังมีครีมบำรุงที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ และเซลล์ผิวเก่าที่ร่างกายของเราได้ผลัดเปลี่ยนขณะนอนหลับ ดังนั้น การล้างหน้าให้สะอาดในตอนเช้าจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้หญิงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และต่อมาคือ การบำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์รวมทั้งการปกป้องใบหน้าจากแสงแดด ด้วยการใช้ซันบล๊อค และเริ่มเมคอัพกันได้เลยค่ะ 1. ลงคอนซีลเลอร์ เพื่อปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น ด้วยการใช้ปลายนิ้วแตะคอนซีลเลอร์ใต้ตา แล้วค่อยๆเกลี่ยให้ชิดขนตาล่าง ให้ยาวตลอดจากหัวตาถึงปลายตา เพื่อให้เกิดความกลมกลื่น หากคุณเป็นสาวผิวขาว ควรที่จะเลือกคอนซีลเลอร์โทนเหลืองที่ดูสว่าง แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวผิวคล้ำหรือรอบตาคล้ำมาก เลือกคอนซีลเลอร์ที่ออกชมพูเล็กน้อยค่ะ 2. รองพื้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ตั้งแต่ครีม น้ำ เจล น้ำมันและแท่ง คุณควรจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่นผิวมันเลือกชนิดบางเบา ในรูปของเจลหรือน้ำ หากผิวแห้งมาก ก็อาจจะเลือกใช้รองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือถ้าหากว่าผิวหน้าเป็นสิว ก็ควรเลือกรองพื้นชนิด Oil Free 3. แป้ง มีทั้งแป้งฝุ่น แป้งพัฟฟ์และแป้งรองพื้น แป้งที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก็คือ แป้งฝุ่น แต่หากว่าคุณต้องการใช้แป้งในการแต่งเติมและพกพาสะดวก ก็ควรใช้แป้งพัฟฟ์เอาติดกระเป๋าไว้ ส่วนแป้งรองพื้นนับว่าเป็นแป้งที่สะดวกใช้เช่นกัน แต่มีจุดด้อยที่แป้งรองพื้นจะมีเนื้อหนาจะทำให้แต่งหน้าได้ลำบาก เพราะอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร 4. แต่งคิ้วให้ได้รูป ด้วยการเขียนคิ้วให้เป็นรูป จากนั้นใช้แปรงปัดขนคิ้ว ปัดให้ขนตั้งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบและถ้าอยากให้ขนคิ้วอยู่คงรูป ก็อาจจะใช้ปลายนิ้วแตะปิโตรเลี่ยมเจลลี่เบาๆแล้วไล้ที่ขนคิ้วให้อยู่คงรูปเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ 5. อายแชโดว์ แต่งแต้มเปลือกตา สาวๆรุ่นเล็กอาจจะดูสวยได้แค่ปัดเปลือกตาด้วยสีอ่อนๆ แต่หากต้องการให้เปลือกตาสวยอย่างครบถ้วนและดูดีมีมิติแล้ว ก็ควรจะเลือกแต่งเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ 3 สี ที่มักจะถูกจับเป็นเซตในตลับ โดยใช้สีอ่อนสุดไล้ให้ทั่วเปลือกตา ด้วยแปรงสำหรับอายแชโดว์โดยเฉพาะ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีที่สองที่มีความเข้มปานกลาง ทาเปลือกตาช่วงรอยพับ หรือเวลาที่เราหลับตาแล้วตานูนออกมานั่นล่ะ ทาให้ทั่วจนถึงขอบขนตา จากนั้นค่อยลงสีที่สาม ที่มีความเข้มมากกว่าสีอื่นใช้ปลายของฟองน้ำที่มีในตลับ เขียนเป็นเส้นให้ติดขอบขนตา 6. อายไลเนอร์ ขั้นตอนนี้อาจจะไม่จำเป็น หากคุณต้องการให้การแต่งหน้าของคุณดูเป็นธรรมชาติ การเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ให้ดูสวยงามก็คือ เขียนให้ชิดกับขอบขนตาและอาจจะเขียนเฉพาะขอบตาบนก็ได้ ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามือของคุณนั้นแม่นพอ 7. ดัดขนตาและปัดมาสคาร่า การปัดมาสคาร่าให้ขนตาดูสวย งอนงามเป็นแผงนั้นควรจะทำควบคู่ไปกับการดัดขนตา และควรจะเลือกมาสคาร่าชนิดกันน้ำ เพื่อจะได้ไม่เลอะเทอะ หรือจะเลือกมาสคาร่าชนิดใสก็ได้ หากต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น 8. บลัชออน เช่นเดียวกับอายแชโดว์ บลัชออนมีทั้งชนิดฝุ่น ครีมหรือน้ำ วิธีการทาบลัชออนให้สวยก็คือ ควรจะยิ้มเต็มที่เวลาที่ทา แล้วลงมือแต้มบลัชออนตรงพวงแก้มที่เปล่งที่สุด แล้วไล้เฉียงสูงขึ้นไปเล็กน้อยจนจรดตีนผม และหากคุณเลือกใช้บลัชอนชนิดฝุ่นก็ควรจะใช้คู่กับแปรงปัดแก้มปลายกลมค่อนข้างใหญ่ จะปัดได้ดูสวยงามกลมกลืนกว่าแปรงปัดแก้มอันเล็กที่มาคู่กับบลัชออนในตลับ 9. เขียนขอบปาก สีดินสอเขียนขอบปากควรจะเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับสีลิปสติก การเขียนขอบปากจะทำให้ทาลิปสติกได้สวยขึ้นเพราะริมฝีปากจะดูได้รูปมากขึ้น หรือถ้าหาดินสอเขียนขอบปากมีสีเข้ากันกับลิปสติกไม่ได้ ก็ควรจะเลือกใช้ดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับริมฝีปากของคุณที่สุดเพื่อความกลมกลืนไม่หลอกตา 10. ลิปสติก เพื่อให้ได้ผลดี ควรทาลิปสติกด้วยพู่กันมากกว่าการใช้แท่งลิปสติกทาลงบนริมฝีปากเลย เพราะการใช้พู่กันจะทำให้สีของลิปสติกกลืนเข้ากับริมฝีปากได้ดีขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เมื่อทาแล้วจึงค่อยเพิ่มความมันวาวด้วยลิปกลอส หากต้องการให้ปากแลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ควรระวังไม่ให้มากหรือหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นปากมันเยิ้มแทน

แต่งตา และ ปาก ให้ลงตัว
Step 1 : ลงคอนซีลเลอร์ลบรอยคล้ำใต้ตาตามด้วยรองพื้นและแป้งฝุ่นให้ทั่วใบหน้า จากนั้นลงครีมบลัชเฉดสีพีชบริเวณข้างแก้มแล้วใช้นิ้วมือไล้ให้จางเข้ามาด้านหน้าแก้ม หลังจากนั้นจึงลงครีมบลัชเฉดสีชมพูบริเวณด้านหน้าแก้มแล้วเกลี่ยออกด้านข้างให้กลมกลืน
Step 2 : ลงอายแชโดว์สีชมพูอ่อนบริเวณหางตาแล้วเกลี่ยขึ้นไปให้ทั่วเปลือกตาบน
Step 3 : ลงอายแชโดว์เฉดสีน้ำเงินอมม่วงให้ทั่วเปลือกตาล่าง แล้วไล้ขึ้นไปให้เหลื่อมกับอายแชโดว์สีชมพูเล็กน้อย Step 4 : วาดขอบตาบนและล่าง ด้วยฟลูอิดไลเนอร์สีดำเทา โดยวาดขอบตาบน ตั้งแต่หัวตาจรดหางตา ขอบตาล่างตั้งแต่หางตาถึงกึ่งกลางตา แล้วทาทับด้วยอายแชโดว์เฉดสีเขียวเข้ม จากนั้นลงอายแชโดว์สีทองประกายมุกบริเวณหัวตาเพื่อเพิ่มความสดใส หลังจากนั้นจึงดัดขนตาให้งอนงามแล้วปัดทับด้วยมาสคาร่าสีน้ำทะเล
Step 5 : ริมฝีปากอิ่มสวยด้วยลิปสติกและลิปกลอสโทนสีส้มธรรมชาติ
TIPS เคล็ดลับการแต่งตาด้วยอายแชโดว์สีเข้ม 1. อายแชโดว์สีเข้มมักจะทำให้ใบหน้าเลอะง่าย ดังนั้นจึงควรป้องกันด้วยการลงแป้งฝุ่นบริเวณใต้ตาและใช้แปรงขนาดใหญ่ปัดทิ้งเมื่อแต่งตาเสร็จ 2. ควรใช้แปรงแต่งตาขนาดกลางและมีขนแปรงที่แน่นจะช่วยให้เกลี่ยสีได้สม่ำเสมอกว่าขนแปรงที่อ่อนนุ่ม 3. หลังจากใช้แปรงแตะอายแชโดว์แล้วให้สลัดแปรงเบาๆ จะช่วยให้อายแชโดว์กระจายตัวและได้น้ำหนักสีที่พอเหมาะ 4. ค่อยๆ เกลี่ยสีให้มีความเข้มทีละ Step จะช่วยให้ได้น้ำหนักสีตามความต้องการของผู้ใช้ เพราะหากลงน้ำหนักสีมากไปในคราวเดียวจะทำให้แก้ไขได้ยาก
Khowledge การใช้สีเข้มจะช่วยเพิ่มความสวยหรูให้ใบหน้า สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว และเหมาะสำหรับงานกลางคืนมากกว่ากลางวัน โดยใช้สีเข้มสร้างความโดดเด่น ให้แก่ดวงตาหรือริมฝีปาก (ตาเข้ม – ปากอ่อน หรือ ตาอ่อน – ปากเข้ม) ส่วนพวงแก้มให้ลงน้ำหนักสีเข้มกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อไม่ให้พวงแก้มดูจืดชืดเกินไป

มาสคาร่า
มีเคล็ดลับความรู้ จากแอนนี่ คารูลโล่ รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ของเอสเต ลอเดอร์ มาเผยให้คุณสาวๆ ได้รู้และสามารถเลือกมาสคาร่า ให้เหมาะกับดวงตาของคุณได้
ข้อแรก ที่สาวๆ พึงจำ คือ “มาสคาร่าช่วยให้ดวงตาคุณดูสวยขึ้น” เพราะดวงตาเป็นจุดสนใจแรกของใบหน้า เมื่อใดที่คุณปัดมาสคาร่า คือ การเพิ่มความเข้มให้ดวงตา ขนตาจะดูหนาขึ้น และเย้ายวนมากขึ้น ในการเลือกซื้อมาสคาร่า สิ่งที่ต้องพิจารณาอันดับแรกคือ คุณต้องทราบก่อนว่า ขนตาของคุณมีลักษณะใด และอยากให้ขนตามีลุคแบบใด เช่น ถ้าคุณขนตาสั้น แต่หนา แนะนำให้ใช้มาสคาร่าแบบที่ต่อขนตาให้ยาวขึ้น (Lengthening mascara) หรือถ้าขนตายาว แต่บาง แนะนำให้ใช้มาสคาร่าที่ทำให้ดูหนา เข้มขึ้น (Thickening mascara)
เนื่องจากมาสคาร่าในแต่ละสูตรจะมีระดับของแว็กซ์ (ขี้ผึ้ง) และความเข้มข้นของเม็ดสีที่ต่างกัน จึงต้องอ่านฉลากให้ละเอียดกันหน่อย เช่นเดียวกันกับการเลือกเฉดสี อย่างแค่สีดำ ก็มีตั้งหลายเฉด ทั้งดำน้ำตาล, ดำเทา, ดำเข้ม และแต่ละเฉดก็ให้ผลลัพธ์ของดวงตาที่สวยต่างกันด้วย ของอย่างนี้ต้องลองให้เห็นกับตา ถึงจะทราบค่ะว่าสีไหนเหมาะกับดวงตาและผิวของคุณ เรื่องแปรงปัด ก็เป็นอีกประการที่ต้องพิจารณา บางคนคิดว่าถ้าขนตาหนา ต้องใช้แปรงใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว คุณต้องการแปรงที่กว้างและหมุนเป็นเกลียวต่างหาก เพื่อให้เนื้อมาสคาร่าเกาะกับขนแปรงมากพอ และเมื่อปัดก็เคลือบขนตาได้ทั่วทุกเส้น หรือสำหรับมาสคาร่าที่ต่อขนตาให้ยาว แปรงปัดแบบขนแปรงถี่ๆ จะทำให้ปัดได้แม่นยำขึ้น และเคลือบบางๆ ไม่เป็นก้อน
สำหรับคุณสาวๆ ที่ชอบใช้มาสคาร่ากันน้ำ ต้องบอกไว้ก่อนว่า มาสคาร่ากันน้ำทุกยี่ห้อจะมีสารทำละลาย (solvents) ซึ่งจะทำให้ขนตาดูไม่หนาเข้ม และบางทีอาจทำให้ขนตาแห้งกรอบด้วย
ซึ่งถ้ารู้สึกว่าขนตาเริ่มแห้งกรอบ แนะนำให้ใช้ conditioner บำรุงขนตา หรือลง Primer ก่อนปัด จะทำให้มาสคาร่ากันน้ำติดทนขึ้น นอกจากวิธีเลือกซื้อมาสคาร่าแล้ว แอนนี่ คารูลโล่ มีวิธีการใช้งานมาแนะนำปิดท้าย
* ข้อแรก วิธีหลีกเลี่ยงมาสคาร่าเกาะเป็นก้อน เลอะเวลาปัด คือ เช็ดหรือปาดเนื้อมาสคาร่าส่วนเกินออกจากแปรงปัด จากนั้นอยู่ที่วิธีการปัด คือ ต้องหมุนแปรงปัดให้ครบรอบ จะเลี่ยงการเกาะเป็นก้อนได้ดี
และสิ่งต้องห้าม คือ ปั๊มแปรงมาสคาร่าเข้า-ออกจากแท่ง ก่อนปัด เพราะจริงๆ แล้ว เราจะได้แต่ลมเข้าไปทำให้เนื้อมาสคาร่าแห้งเร็วขึ้น เวลาใช้ก็จะดูเกรอะ เลอะเป็นก้อนหนักขึ้นกว่าเดิมอีก
* ข้อสอง คือ อย่าใช้มาสคาร่าร่วมกับคนอื่น แต่ควรเปลี่ยนแท่งใหม่ทุกๆ 3 เดือน เพราะแบคทีเรีย สามารถเจริญเติบโตในหลอดได้
รู้จัก ”มาสคาร่า” อุปกรณ์สำคัญเพื่อความสวยของทุกๆ เทรนด์แล้ว ไม่ว่าซีซั่นจะเปลี่ยนไปกี่สีสัน ดวงตาและขนตาคุณก็จะสวยเสมอ โดดเด่นไม่มีตกเทรนด์อย่างแน่นอน

วิธี กรีด อายไลเนอร์
การเขียนอายไลเนอร์นั้น หากเป็นการแต่งหน้าธรรมดา ก็เขียนแต่เพียงขอบตาบนก็พอ เพื่อให้ขอบตาชัดขึ้น ทำให้ดูตากลมโตขี้นค่ะ
ก่อนอื่นหลับตาข้างที่ต้องการจะเขียน
สำหรับขอบตาบนค่อย ๆ ลากเส้นอายไลเนอร์จากหัวตา ไม่ต้องติดหัวตามากนะคะ เว้นระยะไว้นิดนึง หรือ ลากมาจากเส้นขอบขนตา มายังหางตา และเขียนให้ติดขนตาให้มากทีสุด
เมื่อถึงหางตาก็ตวัดอายไลเนอร์ขั้นนิดนึง เพื่อให้หางตาดูสวยขึ้น
หากมีการเลอะของอายไลเนอร์ ให้ใช้คัดเติลบัชเช็ดอายไลเนอร์ที่เลอะออกได้ค่ะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะคะ ก่อนที่อายไลเนอร์จะแห้ง
เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีดวงตาคู่สวยได้แล้วค่ะ ทริปเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสาว ๆ นะคะ สำหรับสาว ๆ ที่มีตาโตอยู่แล้วนั้น กรีดเพียงบาง ๆ ก็พอค่ะ ตาจะดูสวยซึ้งขึ้น แต่สาว ๆ ที่มีดวงดาเล็ก หรือสาวหมวยก็เขียนเป็นเส้นหนาขึ้นได้ค่ะ เพื่อให้ดวงตาดูโตขึ้น

กรีดอายไลเนอร์แบบไหนดี
สำหรับสาว ๆ หลาย ๆ คน คงจะมีปัญหาการกรีดอายไลเนอร์ว่าจะกรีดแบบไหนดี เพราะบางคนอาจจะเบื่อกับการกรีดอายไลเนอร์แบบธรรมดา วันนี้เลยเอารูปแบบการแต่งตามาแนะนำกันค่ะ
อยากให้ดวงตาสวยซึ้ง...ลองกรีดอายไลเนอร์เส้นคม ๆ แล้วตวัดขางตาขึ้นเล็กน้อย แล้วปัดมาสคาร่าที่เพิ่มความยาวของขนตาและความหนาดูซิคะ
อยากให้ตาดูโฉบเฉี่ยว...ต้องนี่เลยค่ะ ลากอายไลเนอร์ที่หางตาเฉียงขึ้น และกรีดอายไลเนอร์ให้หนาขึ้น หรืออาจใช้อายไลเนอร์สีสันสดใสเพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยวขึ้นก็ได้ค่ะ
หากคุณอยากให้ดวงตาดูคมเข้ม ก็ลองกรีดอายไลเนอร์เส้นหนาขึ้นดูซิคะ จะช่วยให้ดวงตาคุณดูเด่นและดูคมเข้มขึ้นได้
สำหรับขอบตาล่างนั้น อาจเขียนมาซักครึ่งตาเพื่อให้ตาดูสวยขึ้น

ขนตาสวยเหมือนตุ๊กตา

ต่อไปเราจะเลิกอิจฉาขนตาที่สวยเรียงเส้นของตุ๊กตาแสนสวยกันได้แล้ว เพราะเราก็มีขนตาสวยแบบนั้นได้เหมือนกัน มาดูกันดีกว่าค่ะว่าทริปคืออะไร
1. แปลงขนตาเพราะถ้าขนตาไม่เรียงตรง จะทำให้ขนตา สวยเหมือนตุ๊กตาไม่ได้ ดังนั้นควรแปรงขน ตาก่อน2. ปัดเบสมาสคาร่าตรงโคนขนตาดัดขนตาแล้วใช้เบสมาสคาร่าที่ทำให้ขนตางอนปัดเฉพาะโคนขนตา ยกขนตาขึ้นจะได้งอน3. เพิ่มวอลลุ่มและแยกเส้นขนตาปัดมาสคาร่าเพิ่มวอลลุ่ม และปัดมาสคาร่า แบบแยกเส้นขนตาด้วย ปัดจากโคนยกขึ้นด้านบน4. แปรงขนตาแปรงขนตา เพื่อให้ขนตาที่ติดกันหลุด ออกจากกัน และไม่ให้มาสคาร่าดูหนาเกินไป5. แก้ปัญหาขนตาติดกันด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้าดัดขนตาด้วยที่ดัดขนตาไฟฟ้า ไม่ให้ขนตาติดกัน และทำให้ขนตางอนสวยยิ่งขึ้น6. ใช้แหนบจัดเรียงขนตาใช้แหนบคีบจัดปลายขนตาเพื่อให้ขนตา ไม่ติดกัน แต่ระวังอย่าให้โดนตาล่ะ


มารู้จักกับรองพื้น
รองพื้นชนิดน้ำ : ใช้ง่ายกว่ารองพื้นทุกชนิด และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยจะไม่เติมแป้งฝุ่นเป็นการตบท้ายอีกครั้งหรือไม่ก็ได้ รองพื้นแบบผสม : เป็นความพยายามของบริษัทเครื่องสำอางที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง รองพื้นประเภทนี้หากไม่ผสมน้ำ จะมีคุณสมบัติเหมือนแป้ง แต่ถ้าผสมน้ำก็จะทำหน้าที่เป็นรองพื้นที่ดี เหมาะกับคนที่ต้องการปกปิดผิวหน้ากว่ารองพื้นชนิดน้ำ รองพื้นแบบแท่ง : รองพื้นชนิดนี้จะค่อนข้างข้นหนา เหมาะแก่การใช้ปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำ หรือจุดด่างดำต่างๆ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ปรับสีผิว : เหมาะกับคนที่สภาพผิวค่อนข้างดี และไม่ต้องการใช้รองพื้นหนาๆที่อยากให้วันหยุดดูสวยง่ายๆแบบสบายๆ ขั้นตอนใช้รองพื้นให้ถูกวิธี ขั้นตอนที่หนึ่ง หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าอย่างหมดจดแล้ว เริ่มแรกจะใช้นิ้วกลาง ไม้ปาดครีมหรือฟองน้ำก็ได้ทั้งนั้น ป้ายรองพื้นบนใบหน้า 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก สันจมูก คอ คาง และสองข้างแก้ม และอีกหนึ่งจุดที่สำคัญไม่แพ้กันคือ บริเวณลำคอใต้คาง ขั้นตอนที่สอง ใช้นิ้วกลางทั้งสองข้างเกลี่ยอย่างรวดเร็วและเบามือให้เนียนนวลทั่วผิวหน้าและคอ โดยลูบไปในทิศทางออกจากตรงกลางหน้า ต้องพยายามเกลี่ยให้ทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรองพื้นกระจุกหนาอยู่ในบางส่วน ขั้นตอนที่สาม หากเผลอลงรองพื้นหนาเกินไป ให้ใช้ฟองน้ำปาดออกเบาๆ บริเวณที่รองพื้นมักไปกองอยู่มากคือ รอบจมูก ใต้ตาและใต้คาง ใช้ฟองน้ำที่ใช้จะผสมน้ำเล็กน้อยหรือแบบแห้งก็ได้ค่ะ

มารู้จัก บลัชออน ให้มากชึ้น
ถ้าพูดถึง บลัชออน หลายๆคนอาจจะคุ้นหูกันเพราะเคยได้ยินเรียกขานมาอย่างนั้น แต่ในทางเทคนิคแล้ว เขาเรียกกันว่าบลัชเชอร์ ซึ่งมาจากคำว่า บลับ (blush) อันแปลว่าอาการหน้าแดงแก้มแดงเพราะเลือดสาวฉีดขึ้นหน้าด้วยความอายขวยเขิน แต่เดิมนั้นบลัชยังถูกใช้เป็นเทคนิคในการแต่งหน้าให้ได้รูป ดูมีโหนกแก้ม สันแก้ม ซึ่งผลที่ได้กลับดูไม่เป็นธรรมชาตินัก ที่จริงก็ควรใช้บลัชตรงตามความหมายเดิมดีกว่า นั่นคือการมอบแก้มระเรื่อเป็นสาวอ่อนวัยสุขภาพดี เวลาเลือกสีบลัช จงจำแนกให้ออกว่า สีพีชกับสีชมพูต่างกันอย่างไร เพราะสีเหล่านี้จะช่วยเน้นโทนสีผิวตามธรรมชาติของคุณและอย่าตัดสินสีจากบลัชใต้ตลับ หรือกะบะตัวอย่าง ให้ลองแต่งที่พวงแก้มหรือเนียนแก้มของคุณให้เห็นจะๆไปเลย ข้อแนะนำในการเลือกสีบลัชเชอร์ให้เข้าสีผิวหน้า - ผมสีอ่อน : (สีน้ำตาล)/ ผิวสีอ่อน (ขาวเหลือหรือขาวอมชมพู) ใช้บลัชสีชมพูอ่อน - ผมสีอ่อน/ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีชมพูอมน้ำตาลเหลือง (Tawny Pink) - ผมสีเข้า(สีดำ) / ผิวสีอ่อน : ใช้บลัชสีชมพูกุหลาบ - ผมสีเข้ม /ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีชมพูอมน้ำตาล - ถ้าคุณทำสีผมเป็นสีแดง สีส้ม น้ำตาลอมส้ม แต่ผิวสีอ่อน : ใช้บลัชสีพีชอ่อน - ถ้าคุณทำสีผมเป็นสีแดง สีส้ม น้ำตาลอมส้ม แต่ผิวสีเข้ม : ใช้บลัชสีพีชเข้ม - ผมสีเข้ม /ผิวเดิมสีอ่อน แต่ไปอาบแดดจนเป็นสีทอง : ใช้บลัชสีน้ำตาลเข้ม - ผมดำ /ผิวดำ : ใช้บลัชสีอิฐ อย่างไรก็ตาม กฎทั่วไปในการเลือกบลัชเชอร์คือเลือกเฉดสีที่เข้ากันได้ดีกับโทนสีผิวของคุณ คุณอาจเลือกสีที่อ่อนกว่า หรือเข้มกว่าก็ได้ตามเทรนด์แฟชั่นประเภทของบลัชเชอร์ 1. บลัชเชอร์แบบฝุ่น ควรใช้ทากับแก้มที่ลงรองพื้น และแป้งฝุ่นผัดหน้าแล้ว วิธีการใช้บลัชเชอร์แบบนี้ให้ใช้แปรงปัดแก้มขนนุ่มขนาดใหญ่คลุมบลัชก่อนแล้วเคาะให้ผงบลัชเชอร์กระจายตัวก่อนทาแก้ม ถ้าคุณเผลอทาบลัชเชอร์บนแก้มมากเกินไป ใช้หลังมือของคุณแตะบลัชเชอร์ออกเบาๆ ยอมเสียบลัชทิ้งไปสักเล็กน้อยดีกว่าทาเสียจนแก้มแดงปลั่งเหมือนโดนตบ ข้อแนะนำที่ดีก็คือ ใช้แต่น้อยก่อน ถ้าคิดว่ายังมองไม่เห็น ก็ค่อยเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่า เริ่มไล้สีตรงส่วนที่กินบริเวณมากที่สุดของแก้มคุณ ก็คือใต้โหนกแก้ม หรือสันแก้มตรงตำแหน่งใต้ตา จากนั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และปัดบลัชไล่ขึ้นตามแนวสันแก้มขึ้นไปหาขมับ เกลี่ยสีให้กลมกลืนกับสีผิวขึ้นไปหาแนวตีนผม เพื่อให้ละเมียดละไมเป็นธรรมชาติ 2. บลัชแบบครีม บลัชเนื้อครีมเรียกได้ว่าเป็นการแหกกฎความงามแบบดั้งเดิม เพราะต้องใช้ปลายนิ้วทาแทนที่จะเป็นแปรง ซึ่งต้องทาลงบนแก้มที่ลงรองพื้นแล้ว แต่ยังไม่ลงแป้งฝุ่น บลัชชนิดครีมมีคุณสมบัติในการมอบความเปล่งปลั่งสดใสให้แก่ทุกสภาพผิว วิธีใช้ก็คือแตะบลัชเชอร์เนื้อครีมสองสามจุดลงบนแก้มของคุณ จากพวงแก้มขึ้นไปหาโหนกแก้ม ใช้ปลายนิ้วของคุณเกลี่ยไล้ทาให้กลมกลืน เพิ่มเติมลงไปอีกเพื่อให้ได้ลักษณะตามที่คุณต้องการ คุณอาจใช้ฟองน้ำแต้มรองพื้นมาช่วยเกลี่ยผสมกับบลัชเชอร์ให้กลมกลืนได้ 3. บลัชเชอร์แบบเหลว มีเนื้ออ่อนใสเป็นน้ำ ซึ่งจะว่าไปแล้วทำให้นึกถึงที่ทาแก้มในยุคโบราณ วิธีใช้ก็เหมือนกับการใช้บลัชแบบครีม แต้มสองสามจุดบนแก้ม และแตะๆๆๆเพื่อไล้สีให้กลมกลืน แต่การใช้บลัชเชอร์แบบเหลวคุณจะทาแป้งฝุ่นก่อนก็ได้ และเมื่อแตะบลัชเชอร์เสร็จแล้ว อาจใช้แป้งฝุ่นไล้ทับอีกครั้งให้ดูระเรื่อเป็นธรรมชาติ วิธีการใช้บลัชเชอร์โดยทั่วไป ควรเริ่มจากการรู้จักรูปหน้าของตัวเอง ดูว่าโหนกแก้มสูงไปหรือว่าหน้าแบนไป และกฎสำคัญก็คือทุกๆอย่างให้ง่ายเข้าไว้ พร้อมกับลงทุนซื้อแปรงปัดแก้มดี ลองกันดูค่ะ 1. จงไปยืนหน้ากระจก และยิ้ม เอามือแตะแก้มบริเวณที่ต้องโดนหมอนเวลานอน จุดนั้นแหละจุดเริ่ม 2. ปัดสีบลัชวนเป็นวง อย่าลืมเคาะแปรงหนึ่งทีก่อนทาบลัช 3. หยุดยิ้มได้แล้วค่ะ ถึงเวลาปัดแปรงขึ้นปัดแปรงลง 4. ถ้าต้องการใบหน้าของเด็กสาวอ่อนวัย แตะแปรงบลัชเชอร์ไปตรงหน้าผาก สันจมูกและคาง เพื่อช่วยสะท้อนแสง สำหรับคนที่คิดว่าบลัชเชอร์แบบแป้งไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะถือแปรงไม่ถนัด ก็ใช้แบบครีมหรือแบบเหลว เพราะปลายนิ้วจะช่วยให้คุณได้สัมผัสและสื่อสารกับผิวแก้ม ทว่าสิ่งสำคัญคือการเกลี่ยหรือแตะๆๆ ไม่ใช่ปาดเสียจนเป็นทางม้าลาย อย่าลืมว่าบลัชแบบครีมหรือแบบเหลวสมควรไล้แป้งฝุ่นทับเพื่อทำให้ดูว่าแก้มของคุณเปล่งปลั่ง แดงระเรื่อมาจากเลือดฝาดในแก้มสาว มีผลิตภัณฑ์ประเภทบลัชเชอร์อีกชนิดที่ให้ความงดงามเปล่งปลั่ง โดยไม่ใช่สีแดงระเรื่อนั่นคือผลิตภัณฑ์บรอนเซอร์ที่จะทำให้ใบหน้าของคุณดูเรืองรอง วาวใสเหมือนไปโดนแดดมา เวลาเลือกสี อย่าใช้บรอนเซอร์ที่มีสีเข้มกว่าเฉดผิวสีแทนตามธรรมชาติของคุณ บรอนเซอร์มีเนื้อผลิตหลายแบบ อย่างเป็นแป้ง เป็นเจล เป็นครีม ทุกชนิดล้วนทำให้แก้มของคุณดูระเรื่อเรืองรอง และเซ็กซี่ อย่างไรก็ดี ถ้าไม่ใช่บรอนเซอร์แบบแป้ง ซึ่งต้องใช้ร่วมกับพัฟหรือแปรงปัดแล้ว นั่นหมายความว่าคุณต้องพึ่งปลายนิ้ว ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อบรอนเซอร์แห้งแล้วแก้มยังไม่แวววาวพอทั้งที่ความเข้มของสีเป็นตามที่ต้องการ วาสลีนคือตัวช่วยชั้นดีให้คุณทาทับเพิ่มความวาวใส

วัยรุ่น...แต่งหน้าอย่างไรดี..
วัยรุ่นโดยมากแล้วมักจะเริ่มแต่งหน้าบางๆตั้งแต่อายุ 12-13 เมื่อเริ่มรู้สึกห่วงความสวยความงามของตนเอง ดังนั้นการแต่งหน้าสำหรับวัยรุ่นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือการแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติและดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรแต่งจนเข้มกลายเป็นงิ้วจนเกินวัย และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคามากจนเกินไป ผลิตภัณฑ์ราคาถูกก็สามารถทำให้เราดูดีได้ Foundation สำหรับวัยรุ่นแล้วยังไม่จำเป็นมากนัก เพราะนอกจากจะทำให้อุดตันรูขุมขนแล้วก็ยังทำให้ดูโอเวอร์อีกต่างหากน่ะสิ มองข้ามครีมรองพื้นไปเลยและใช้เฉพาะคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดรอยสิว และปัดแป้งฝุ่นเพียงเล็กน้อยให้ทั่วใบหน้า แต่ก็ไม่หมายความว่าน้องๆวัยรุ่นไม่สามารถที่จะใช้รองพื้นได้เลยนะคะ หากต้องการจะใช้ ให้ใช้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นค่ะ และแนะนำให้ใช้เป็นชนิดน้ำ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด และที่สำคัญที่สุดนะคะ รองพื้นควรจะต้องทำเป็นอย่างแรกก่อนใช้เครื่องสำอางชนิดอื่นๆค่ะ Concealer เราต้องรู้จักวิธีซ่อนปัญหาของผิวหน้าของเราเสียก่อน โดยเฉพาะสิว ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทาให้ทั่วใบหน้าและให้ทาซ้ำกับรอยด่างดำและสิว หลังจากนั้นปล่อยให้ซึมลงผิวค่ะ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อผิวส่วนนั้นจะได้เรียบเนียนและไม่ขรุขระ ให้แต้มคอนซีลเลอร์ลงไปตรงจุดด่างดำและสิวเล็กน้อย ทำอย่างเบาๆและเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ เลือกคอนซีลเลอร์สีที่ไม่ต่างจากผิวหน้าเรามากนัก หรือสีเข้มกว่าใบหน้าเราเล็กน้อย หลังจากนั้นให้ลงแป้ง ทางที่ดีที่สุดควรเป็นสีโทนเหลืองค่ะ และอย่าลืมปัดแป้งที่เป็นคราบที่ติดไปกับคอนซีลเลอร์ด้วยนะคะ ไม่งั้นจะเป็นด่างๆ Eye Make-up ทาตาแค่เพียงบางๆ และไม่ควรใช้สีเมทัลลิคที่กำลังอินเทรนด์อยู่นี่ล่ะค่ะ หรือจะเป็นสีที่มีประกาย เพราะกากจากประกายจะเข้าตาเราได้และทำให้เกิดการระคายเคือง สำหรับอายแชโดว์นั้นไม่จำเป็นว่าต้องเข้ากับสีดวงตาของเรา สำหรับวัยรุ่นไทยควรใช้สีโทนฟ้าและน้ำตาล หากจะปัดมาสคาร่า ใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเข้มจะเหมาะที่สุดกับผมสีดำ และมาสคาร่ากันน้ำก็ไม่จำเป็นต้องใช้หากเราไม่ได้เล่นกีฬาหรือต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงแม้ว่ามาสคาร่าชนิดนี้จะติดทนแต่เวลาเช็ดออกก็ยากเหมือนกันค่ะ และสำหรับวัยรุ่นการใช้เครื่องสำอางน้อยชิ้นจะดีกว่าและไม่ต้องกังวลกับเรื่องน่ารำคาญใจเกี่ยวกับพวกมันอีกด้วย หากจะใช้อายไลเนอร์ ใช้ชนิดที่เป็นดินสอจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เป็นชนิดน้ำ ควรหัดเขียนขอบตาอย่างระมัดระวัง และมือควรจะนิ่งเพื่อให้ได้เส้นที่ตรง และถ้าทาแล้วสีเข้มเกินไปให้ค่อยๆเช็ดออกด้วยกระดาษทิชชู่ค่ะ Blush ชนิดที่เป็นน้ำและแท่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเพราะว่าง่ายในการใช้ และเรียบเนียนอีกด้วย สีชมพูและสีส้มพีชเข้าได้กับทุกโทนสีผิว ให้ปัดตรงโหนกแก้มโดยการยิ้มจะทำให้เราเห็นโหนกแก้มชัดเจน และปัดออกไปตามไรผมด้านข้างค่ะ Lips ใช้ลิปกลอสเพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เย้ายวน หากต้องการใช้ลิปสติกสี ในเวลากลางคืนลองใช้สีที่อ่อนๆ หากต้องการเพิ่มความมันวาวให้ทาลิปกลอสทับอีกชั้นหนึ่ง และควรมีลิปกลอสติดตัวอยู่เสมอค่ะ การเลือกใช้สีลิปสติกให้เข้ากับการแต่งหน้า ควรเลือกดูในเวลากลางวันที่สว่างๆ และควรลบสีที่คิดว่าเข้มเกินไปออกบ้างนะคะ เพราะวัยรุ่นไม่เหมาะกับสีเข้มๆ และหากเคยมีปัญหาระคายเคืองผิวมาแล้ว ควรระงับการใช้เครื่องสำอางไปสักพักจนกว่าจะพบว่าเกิดจากอะไร และหาทางแก้ปัญหาซะ For That Look 1. ให้ทาขอบตาบนและล่างด้วยสีเทาหรือสีดำ ด้วยดินสอเขียนขอบตา (หรือใช้อายแชโดว์แทนก็ได้) ให้ขอบตาบนดูหนากว่าขอบตาล่าง และอย่าทำให้เลอะเทอะ เส้นควรเนี๊ยบและคม สำหรับดินสอเขียนขอบตาชนิดน้ำจะใช้ยากกว่าและมือต้องมั่นคงพอสมควร แต่หากคุณทำได้ก็ควรใช้ค่ะ 2. ทาปากด้วนสีชมพูอ่อน ทำให้คุณดูเหมือนเจ้าหญิงยังไงยังงั้น และหากจะใช้ลิปสติกสีชมพู ควรงดการเขียนขอบปากค่ะ เพื่อความสมดุล หากคุณมีผิวโทนเหลือง และไม่ต้องการจะใช้สีชมพูในการแต่งหน้า ควรลองสีพีชหรือสีเบจในการทาปากแทน

แสตมป์


แสตมป์ทั่วไป
แสตมป์ที่พิมพ์เพื่อการใช้งานไปรษณีย์เป็นหลัก เรียกว่า
แสตมป์ทั่วไป (definitive stamp) ถือเป็นแสตมป์ประเภทแรกที่จัดพิมพ์ขึ้น เพราะค่าไปรษณีย์มีหลายอัตราขึ้นกับน้ำหนัก ที่หมาย ความด่วนของการส่ง การรับประกันการสูญหาย เป็นต้น แสตมป์ทั่วไปมักพิมพ์หลายราคา โดยแต่ละราคารูปมีแบบเหมือนกัน มีจำนวนที่พิมพ์สูง และอาจมีการพิมพ์เพิ่มเติมหลายครั้ง
ภาพที่นิยมใช้บนแสตมป์ทั่วไป ได้แก่ ภาพพระมหากษัตริย์ของประเทศนั้น ๆ กรณีที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ภาพสวยงามอื่นซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของประเทศ เช่น ดอกไม้ สัตว์ สิ่งก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งแสตมป์ดวงแรกของโลกเป็นภาพ
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สำหรับประเทศไทยนิยมใช้ภาพพระมหากษัตริย์ไทยบนดวง
แสตมป์ทั่วไป เรียกว่าแสตมป์พระบรมฉายาลักษณ์ แต่ปัจจุบันมีการใช้รูปอื่น เช่น รูป
ธงชาติ รูปช้าง บนดวงแสตมป์ด้วย


แสตมป์ที่ระลึก
แสตมป์ที่ระลึก (commemorative stamp) เป็นแสตมป์ที่พิมพ์ขึ้นเนื่องในโอกาสทั่วไป และพิมพ์เป็นจำนวนจำกัด เมื่อจำหน่ายหมดแล้วก็ไม่มีการพิมพ์เพิ่ม มีได้หลายลักษณะ เช่น
เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ที่สำคัญ หรือ วันครบรอบของบุคคลสำคัญ
เป็นที่ระลึกเนื่องในกิจกรรมพิเศษ เช่น
งานกาชาด หรือ วันสำคัญของปี เช่น วันสงกรานต์ วันวาเลนไทน์
สำหรับเผยแพร่เรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับ ธรรมชาติ, งานศิลปะ เช่น
แมวไทย, จิตรกรรมฝาผนัง, อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
แสตมป์ที่ระลึกประเภทหลังมีอีกชื่อเรียกว่าแสตมป์พิเศษ (special stamp) และอาจจัดแสตมป์ที่ระลึกประเภทที่สองเป็นแสตมป์พิเศษด้วยก็ได้
แสตมป์ที่ระลึกเกิดขึ้นมาภายหลังเมื่อความนิยมการสะสมแสตมป์เพิ่มขึ้น แสตมป์ที่พอจะจัดเป็นแสตมป์ที่ระลึกดวงแรก ๆ เช่น แสตมป์ของสหรัฐอเมริการูป
อับราฮัม ลิงคอล์น ที่ออกใน พ.ศ. 2409 ภายหลังที่เขาถูกลอบสังหารในปีก่อนหน้า แต่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าออกเพื่อการไว้อาลัย แสตมป์ดวงแรกที่มีข้อความแสดงเหตุการณ์ที่ระลึกคือแสตมป์ของนิวเซาท์เวลส์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย) ที่ออกในปี พ.ศ. 2431 มีข้อความว่า "ONE HUNDRED YEARS" ออกมาเพื่อฉลองครบรอบร้อยปีของการก่อตั้ง แสตมป์ที่ระลึกชุดแรกของไทย คือ แสตมป์ฉลองพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก สมัยรัชกาลที่ 5

แสตมป์เพื่อใช้งานเฉพาะกรณี
แสตมป์ทั่วไปบางดวงจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่นแสตมป์สำหรับ
อากาศไปรษณีย์ (airmail) แสตมป์สำหรับองค์กรที่ส่งจดหมายทีละมาก ๆ (bulk mail) ซึ่งมีราคาบนดวงแสตมป์ตรงกับอัตราค่าส่งแบบพิเศษนั้น ๆ อีกตัวอย่างหนึ่งคือแสตมป์ที่พิมพ์เพื่อใช้งานโดยหน่วยงานของรัฐบาล (official stamp) ซึ่งประเทศไทยเคยออกแสตมป์แบบนี้เรียกว่าแสตมป์ทดสอบสถิติราชการ ออกมาใช้งานช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อเก็บสถิติการส่งไปรษณีย์ของหน่วยงานแต่ละแห่งของรัฐบาล
แสตมป์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ ไม่ได้แยกประเภทต่างหากจากแสตมป์ทั่วไปและแสตมป์ที่ระลึกที่กล่าวไว้ข้างบน แต่ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว และมีชื่อเรียกเฉพาะ


แสตมป์กาชาด พ.ศ. 2528 (พิมพ์แก้ราคา) ใช้เป็นแสตมป์ที่ระลึก


แสตมป์ทั่วไป พิมพ์แก้ราคา
แสตมป์ต่าง ๆ ที่นำออกมาจำหน่ายและใช้งานทางไปรษณีย์ไม่จำเป็นต้องเป็นแสตมป์ที่พิมพ์ขึ้นใหม่เสมอ แต่อาจเป็นแสตมป์พิมพ์แก้ (overprint) คือแสตมป์ของเดิมที่มีอยู่แล้วแต่นำมาพิมพ์เพิ่มเติมบางอย่างลงบนตัวแสตมป์ แสตมป์พิมพ์แก้มีทั้งแสตมป์ทั่วไปและแสตมป์ที่ระลึก ตัวอย่างแสตมป์พิมพ์แก้เพื่อเป็นที่ระลึกของไทย เช่น
งานกาชาดบางปี
แสตมป์พิมพ์แก้ที่ใช้เป็นแสตมป์ทั่วไป อาจมีวัตถุประสงค์ในการจัดพิมพ์ต่าง ๆ กันเช่น นำแสตมป์ของประเทศหนึ่งพิมพ์ข้อความเพิ่มเพื่อนำไปใช้ในดินแดน
อาณานิคม และนำแสตมป์ราคาหนึ่งมาแก้ไขเป็นอีกราคาหนึ่ง เรียกว่า พิมพ์แก้ราคา (surcharge) ใช้กรณีที่ไปรษณีย์ขาดแคลนแสตมป์บางราคา หรือมีการปรับเปลี่ยนหน่วยเงินตรา และใช้งานระหว่างที่รอแสตมป์ราคาที่ขาดแคลนพิมพ์เสร็จ แสตมป์พิมพ์แก้พบมากในแสตมป์ยุคแรก ๆ เนื่องจากการพิมพ์และการขนส่งใช้เวลานาน
แสตมป์ส่วนตัว
แสตมป์ส่วนตัว (personalized stamp) คือแสตมป์ที่ด้านข้างมีภาพอื่นซึ่งผู้ที่ซื้อแสตมป์ สามารถนำมาใส่ได้ เช่น ภาพถ่าย ซึ่งตามงานแสดงต่าง ๆ ที่ไปรษณีย์ไปเปิดให้บริการในช่วงหลัง ๆ มักมีบริการถ่ายรูปเพื่อพิมพ์ลงบนแสตมป์ส่วนตัวด้วย แสตมป์ดังกล่าวสามารถใช้จริงทางไปรษณีย์ได้ แต่ต้องติดส่วนที่เป็นภาพถ่ายและแสตมป์ไปคู่กัน

แสตมป์ตลก
สำหรับแสตมป์ที่มีความผิดปกติระหว่างการพิมพ์ เรียกว่า
แสตมป์ตลก (error หรือ variety) ซึ่งอาจเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญเพียงบางแผ่น เช่น หมึกเลอะ, ปรุรูเคลื่อน, พิมพ์ซ้ำ หรือเกิดจากรอยตำหนิบนแม่พิมพ์ ซึ่งมีผลให้แสตมป์ตรงตำแหน่งดังกล่าวของทุกแผ่นมีความผิดพลาดทั้งหมด แสตมป์ตลกสามารถใช้งานได้จริงทางไปรษณีย์ และเป็นที่นิยมสะสมโดยแสตมป์ตลกบางดวงมีค่ามากกว่าแสตมป์จริงเสียอีกเพราะมีปริมาณน้อยมาก
วิธีการจำหน่ายแสตมป์


แสตมป์จากตู้หยอดเหรียญของสหรัฐอเมริกา ออกในปี พ.ศ. 2497
แสตมป์รูปแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิม คือ พิมพ์เป็น
แผ่นและฉีกขายที่ไปรษณีย์ แต่เพื่อความสะดวกกับผู้ใช้บริการไปรษณีย์จึงมีการพัฒนารูปแบบอื่น ๆ ตามมา รูปแบบหนึ่งที่นิยมคือ สมุดตราไปรษณียากร หรือ สมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็ก (stamp booklet) ซึ่งมีลักษณะเป็นเล่มภาย ในบรรจุแสตมป์จำนวนหนึ่ง สามารถฉีกออกมาติดจดหมายได้ อาจจำหน่ายทางที่ทำการไปรษณีย์ ตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น
มีแสตมป์อีกแบบที่พิมพ์ขึ้นสำหรับจำหน่ายผ่านตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ เรียกว่า coil stamp แสตมป์พิมพ์ให้มีลักษณะเป็นม้วนเหมือนกับ
เทปกาว เมื่อหยอดเหรียญก็จะส่งแสตมป์ออกมาจากเครื่องตามจำนวนเงินที่ใส่ ให้ผู้ซื้อฉีกออกจากม้วนไปใช้งาน แสตมป์แบบนี้ประเทศไทยยังไม่มี
ปัจจุบันมีแสตมป์แบบที่ตอนพิมพ์ยังไม่ได้ระบุราคาบนดวงแสตมป์ แต่จะใช้เครื่องพิมพ์พิมพ์ราคาทีหลังตามอัตราค่าไปรษณีย์ที่ต้องการฝากส่ง อาจให้บริการจากเคาน์เตอร์บริการหรือเครื่องหยอดเหรียญก็ได้ ของประเทศไทยปัจจุบันเป็นแสตมป์รูป
ช้างนิยมเรียกว่าเลเบล หรือแสตมป์สติกเกอร์ เนื่องจากมีกาวแบบสติกเกอร์ด้านหลังแสตมป์



แสตมป์ทั่วไป
(
อังกฤษ definitive stamp) เป็นแสตมป์ที่วัตถุประสงค์ในการพิมพ์เพื่อใช้งาน แทนที่จะพิมพ์ขึ้นเพื่อการสะสมเหมือนแสตมป์ที่ระลึก ลักษณะของแสตมป์ทั่วไป มักมีหลายราคาครอบคลุมอัตราค่าไปรษณีย์ต่าง ๆ กัน มักทยอยพิมพ์และนำออกจำหน่ายต่อเนื่องกันหลายปี และมีการพิมพ์เพิ่มเติมเมื่อแสตมป์ที่มีอยู่ถูกใช้งานจนเหลือน้อย
คำว่า definitive stamp เริ่มแพร่หลายช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อใช้แยกความแตกต่างจากแสตมป์ที่ระลึก สำหรับประเทศไทยแสตมป์ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในสมัยนั้น เรียกว่า แสตมป์พระบรมฉายาลักษณ์
ราคาบนดวงแสตมป์จะขึ้นอยู่กับอัตราค่าไปรษณีย์ในแต่ละสมัย แสตมป์ทั่วไปมีทั้งชุดขนาดเล็กที่มีราคาเดียวหรือไม่กี่ราคา จนถึงชุดขนาดใหญ่ที่มีแสตมป์แตกต่างกันหลายสิบดวง ซึ่งราคาจะมีตั้งแต่ต่ำสุดซึ่งแทนหน่วยเงินที่เล็กที่สุด หรือ อัตราค่าไปรษณีย์ต่ำสุด ไปจนถึงราคาสูงสุดสำหรับส่งพัสดุไปรษณีย์ขนาดใหญ่ ส่วนราคาระดับกลาง ๆ มีเพื่อสะดวกในการติดแสตมป์ให้ได้อัตราค่าส่งต่าง ๆ กัน และอาจมีราคาเป็นตัวเลขประหลาดที่ตรงกับค่าฝากส่งบางประเภทที่ใช้บ่อย
แสตมป์ทั่วไปที่ออกเป็นชุดใหญ่มักจะพิมพ์มาเพื่อใช้งานเป็นเวลานานหลายปี ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงค่าไปรษณีย์ระหว่างนั้น ก็มักจะออกแสตมป์ราคาใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมรองรับอัตราใหม่
แสตมป์ทั่วไปในบางประเทศยังมีการออกเป็นแสตมป์ไม่ระบุราคา (non-denominatd หรือ no-value indicator, NVI) ซึ่งไม่ใช้ตัวเลขมาแสดงราคาบนดวงแสตมป์ ตัวอย่างเช่น
สหรัฐอเมริกา เคยออกแสตมป์ที่มีราคาบนดวงเป็นตัวอักษร เช่น A, B, C เป็นต้น มีจุดประสงค์เพื่อสามารถเตรียมการและพิมพ์แสตมป์เมื่อมีการปรับอัตราค่าไปรษณีย์ใหม่ แต่ในขณะเตรียมการยังไม่ทราบอัตราใหม่แน่นอน [1] และเมื่อทราบอัตราใหม่แล้วจะมีการพิมพ์ราคาบนแสตมป์ทั่วไปรุ่นต่อ ๆ มา ระยะหลังสหรัฐอเมริกายังพิมพ์แสตมป์ที่แสดงข้อความ First-class แทนราคาจริงสำหรับจดหมายประเภท first-class (จดหมายทั่วไป) แต่ไม่สามารถใช้ในอัตราใหม่หากค่าไปรษณีย์มีการขึ้นอีก
แสตมป์ไม่ระบุราคาอีกแบบ สามารถนำมาใช้เมื่อมีการปรับอัตราใหม่ได้ โดยแสตมป์ถือว่ามีราคาบนดวงเท่ากับอัตราใหม่ทันที ผู้ซื้อไม่ต้องหาแสตมป์มาติดเพิ่มอีก เช่น
สหราชอาณาจักรมีการพิมพ์แสตมป์สำหรับ first-class และ second-class (ช้ากว่า) โดยพิมพ์ข้อความ 1ST และ 2ND แทนราคา[2] แคนาดาก็ออกแสตมป์แบบนี้และใช้เครื่องหมายการค้าว่า PERMANENT stamp และใช้ตัวอักษร P บนใบเมเปิลเป็นสัญลักษณ์[3] ประเทศไทยเคยออกแสตมป์ชุดหนึ่ง เป็นแสตมป์รูปดอกบัว สำหรับส่งจดหมายภายในประเทศ บนแสตมป์ไม่มีราคาหน้าดวง จำหน่ายในรูปสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กที่ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เริ่มจำหน่าย 4 สิงหาคม พ.ศ. 2540 แสตมป์ออกมาในช่วงที่อัตราจดหมายคือสองบาท และสามารถใช้ได้เมื่อปรับอัตราค่าไปรษณีย์ใหม่[4] ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว

แสตมป์ทั่วไปมักมีขนาดเล็กไม่เปลืองเนื้อที่ในการติด เนื่องจากเวลาใช้อาจต้องติดแสตมป์จำนวนมาก แสตมป์ราคาสูงอาจพิมพ์ให้มีขนาดใหญ่กว่าแสตมป์ราคาปกติ รูปแบบมักจะเรียบง่าย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แสตมป์ ภาพบนดวงแสตมป์นิยมสื่อถึงวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์ของประเทศ บางประเทศนิยมนำภาพของผู้นำหรือพระมหากษัตริย์มาเป็นแบบบนแสตมป์
เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในการตรวจ แสตมป์ทั่วไปแต่ละราคาจะพิมพ์คนละสีกัน เจ้าหน้าที่ที่ชำนาญเพียงแต่เห็นแสตมป์สีต่าง ๆ กันบนจดหมายหรือพัสดุก็สามารถบอกได้ทันทีว่าติดแสตมป์ทั้งหมดรวมแล้วราคาเท่าใด
แสตมป์ทั่วไปของไทย
แสตมป์ทั่วไปของไทยนิยมใช้ภาพพระบรมฉายาลักษณ์บนดวงแสตมป์ตั้งแต่ยุคแรกของการไปรษณีย์ไทยในสมัย
รัชกาลที่ 5 จะมียกเว้นบ้างก็เช่น ชุดในสมัยรัชกาลที่ 8 ชื่อชุดบางปะอิน (เริ่มจำหน่ายเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2484) ที่นำรูปควายไถนาและรูปพระราชวังบางปะอินมาใช้บนดวงแสตมป์
แสตมป์ทั่วไปสมัยรัชกาลที่ 9 ออกเป็นแสตมป์พระบรมฉายาลักษณ์ถึงปัจจุบันเป็นชุดที่ 9 (ข้อมูลเมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2550) โดยเป็นพระบรมฉายาลักษณ์หันพระพักตร์ตรงสองชุด สลับกับพระพักตร์ข้างหนึ่งชุดสลับกันไป แสตมป์ชุดที่ 9 ซึ่งเป็นแบบพระพักตร์ข้าง
ออกใช้งานตั้งแต่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ประกอบด้วยราคา 50 สตางค์, 1, 2, 4, 5, 6, 7, 9, 10, 12, 15, 20, 25, 30, 50, 100, 200 และ 500 บาท โดยแสตมป์ราคา 500 บาทเป็นแสตมป์ที่มีราคาหน้าดวงสูงที่สุดของไทย
แสตมป์ทั่วไปสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ไม่ใช่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เพิ่งเริ่มมีในระยะหลัง ชุดแรกมีวันแรกจำหน่าย 1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 มีสี่แบบ ได้แก่ภาพ
ธงชาติ เรือนไทย ช้าง และ ดอกราชพฤกษ์ อีกชุดหนึ่งที่จัดเป็นแสตมป์ทั่วไปได้เช่นกัน เป็นแสตมป์รูปดอกบัวซึ่งกล่าวในหัวข้อราคา ไม่จำหน่ายในรูปแผ่นแสตมป์เหมือนปกติ แต่อยู่ในรูปสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กแทน

เราจะเริ่มต้นสะสมแสตมป์อย่างไรดี

ประโยชน์ของการสะสมแสตมป์
หลายๆ คนรอบตัวเราต่างมีงานอดิเรกที่ตรงกัน นั่นคือ การสะสมแสตมป์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น สาเหตุที่มีการสะสมแสตมป์ทั่วโลก เพราะผู้สะสมจะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น ได้รับความเพลิดเพลินจากภาพที่พบเห็น ได้รับความรู้หลายด้านเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียม ประเพณี ฯลฯ ถ้าเรารู้จักค้นคว้าถึงที่มาของภาพที่ปรากฏ บนดวงแสตมป์ ทำให้เป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็น ละเอียดอ่อน เป็นระเบียบ เพราะการลอกล้างแสตมป์ การหยิบจับ หรือการจัดเก็บต้องอาศัยความประณีต แสตมป์ยังทำให้ มีเพื่อนมากขึ้น เพราะนักสะสมนิยมนำไปแลกเปลี่ยนระหว่างกัน นอกจากนี้ การสะสมแสตมป์ยังเป็นการออมทรัพย์ในทางอ้อม เพราะแสตมป์จะมีค่าสูงขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป การสะสมแสตมป์มีประโยชน์มากมายดังกล่าว จึงทำให้บุคคลทุกเพศทุกวัยนิยมสะสมแสตมป์ เมื่อท่านสนใจอยากจะสะสมขึ้นมาบ้างแล้ว เราลองมาดูกันซิว่าเราจะเริ่มสะสมแสตมป์ได้อย่างไร

เราจะเริ่มสะสมแสตมป์อย่างไรดี
การสะสมแสตมป์เป็นสิ่งที่สนุกสนานเพลิดเพลินและง่ายมาก จนแม้แต่เด็กๆ ก็สามารถเริ่มสะสมได้ ในขนาดเดี่ยวกันก็มีความเร้าใจมากเพียงพอ ที่จะทำให้ผู้ที่สะสมเกิดความอยากรู้ อยากเห็น สนใจ เอาใจใส่ติดตามอย่างไม่ลดละ ท่านสามารถมีแสตมป์ไว้สะสมสำหรับตัวของท่านเอง ได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเริ่มจากแสตมป์บนซองจดหมาย ซึ่งบุรุษไปรษณีย์นำมาให้แก่ท่านในแต่ละวัน

เราจะเริ่มจากที่ไหนดีล่ะ
อ้าว....เราก็เริ่มด้วยการสำรวจตรวจตรา จดหมายต่างๆ ที่มาถึง คุณพ่อ คุณแม่ พี่ๆ น้องๆ ญาติๆ หรือแม้แต่เพื่อนๆ ใกล้ๆ ตัวคุณ ถ้าเห็นว่าแสตมป์ที่ผนึกอยู่บนจดหมายมีความสวยงามน่าสมใจ ละก็รีบขอไว้...ซะเลย ที่นี้ก็มาถึงการลอกแสตมป์จากซองจดหมายเหล่านั้น เริ่มด้วยการใช้กรรไกรตัดแสตมป์ออกจากซองจดหมาย โดยให้มีระยะห่างจากฟันแสตมป์พอประมาณ จากนั้นจึงนำแสตมป์ไปแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงนำไปลอกออกและผึ่งให้แห้ง โดยคว่ำภาพแสตมป์ลงบนกระดาษซับหรือกระดาษที่สะอาด จากนั้นนำไปสอดไว้ในสมุดเล่มหนาๆ เพื่อให้แสตมป์ มีความเรียบ สวยงาม ไม่โก่งงอ เมื่อแสตมป์แห้งและเรียบดีแล้ว เราก็มาเริ่มจัดแสตมป์ของเรากันได้เลย

เราจะสะสมแสตมป์อย่างเดียวหรือ
ท่านสามารถเริ่มต้นด้วยการสะสมแสตมป์ ซึ่งสามารถแยกการสะสมได้เป็น การสะสมแสตมป์ที่ยังไม่ได้ใช้ คือ การสะสมแสตมป์ใหม่ๆ ที่ไม่มีรอยประทับตรา และได้รับการเก็บรักษาไว้ในสภาพเรียบร้อย การสะสมแสตมป์ใช้แล้ว คือ แสตมป์ที่ตัดมาจากซองจดหมายต่างๆ หรือไปรษณียภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งเป็นแสตมป์ที่ได้รับการประทับตราแล้ว การสะสมตราประทับประจำวัน คือ แสตมป์ที่ได้รับการประทับตราประจำวันของที่ทำการไปรษณีย์ และที่ทำการไปรษณีย์ต้นทาง เมื่อความสนใจของท่านเพิ่มขึ้น ท่านก็อาจขยายขอบเขต การสะสมของท่าน โดยเพิ่มเติมการสะสมสิ่งสะสมอื่นๆ อาทิ ไปรษณียบัตร จดหมายอากาศ แผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึก ซองที่ระลึก ซองวันแรกจำหน่าย สมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็ก สมุดตราไปรษณียากรประจำปี บัตรภาพตราไปรษณียากร บัตรตราไปรษณียากรที่ระลึก รวมทั้งตราประทับประจำวันต่างๆ ด้วยเป็นต้น ท่านสามารถสะสมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างมากมาย แต่จะเป็นการดีกว่าหากท่านเริ่มต้นด้วยการเลือกสะสมบางสิ่งบางอย่างก่อน จนกระทั่งมีความชำนาญและความเข้าใจดีแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มการสะสมสิ่งอื่นๆ อีกที่ละอย่างสองอย่าง

เราต้องการอุปกรณ์อะไรบ้าง
อุปกรณ์การสะสมที่ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่นักสะสม ทุกระดับต้องมีไว้ ได้แก่ สมุดเก็บแสตมป์ ปากคีบแสตมป์ที่ใช้คีบแสตมป์แทนการใช้มือจับ แว่นขยายเพื่อใช้ในการส่องดูรายละเอียดการพิมพ์บนดวงแสตมป์ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่ชัดเจน และหนังสือคู่มือแสตมป์ เมื่อการสะสมแสตมป์ของท่านก้าวหน้าขึ้น ท่านอาจต้องการมาตรวัดฟันแสตมป์เพื่อใช้วัดขนาดรอยปรุของแสตมป์ นอกจากนี้แล้วยังมีเครื่องตรวจสอบลายน้ำที่จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับ ลักษณะของลายน้ำที่ใช้บนกระดาษ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงในการพิมพ์ นักสะสมมืออาชีพอาจจะต้องการแม้กระทั่ง "ดวงโคมให้แสง อัลตราไวโอเลต" ที่สามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับ แถบสีของสารเรืองแสง ที่การไปรษณีย์ต่างๆ พิมพ์ไว้บนแสตมป์ของตน

เราควรสะสมอะไรดี
ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรแน่นอนตายตัวในเรื่องนี้ ท่านสามารถจะเลือกสะสมเรื่องอะไรก็ได้ที่ท่านใฝ่ฝัน หรือมีความรักประทับใจที่จะสะสม ท่านอาจจะเก็บสะสมแสตมป์แต่ละประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือเยอรมนี หรือตามกลุ่มของประเทศ เช่นกลุ่มประเทศอาเซียน กลุ่มยุโรปเหนือ กลุ่มแอฟริกาใต้ เป็นต้น แล้วคอยสำรวจติดตาม ความเจริญเติบโต ความก้าวหน้า วิวัฒนาการทางศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ประชากรของประเทศเหล่านั้นจากแสตมป์ หรือมิฉะนั้น ท่านก็เลือกสะสมแสตมป์เป็นเรื่องๆ ไป เช่น ดอกไม้ สัตว์ กีฬา ฯลฯ แล้วพยายามค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยการศึกษาเปรียบเทียบข้อแตกต่างคล้ายคลึงจากแสตมป์ ของแต่ละประเทศ

เราจะเก็บแสตมป์อย่างไรดี
วิธีการเก็บที่ถูกต้องที่สุดคือ การเก็บแสตมป์ไว้ในสมุดเก็บแสตมป์ ซึ่งมีมากมายหลากหลายชนิด หลายรูปแบบให้เลือกได้ตามความต้องการ ทั้งชนิดที่หน้าในติดตายตัวถอดไม่ได้ และชนิดที่ถอดหน้าในได้หรือเพิ่มหน้าได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเก็บแสตมป์คือ การสอดใส่แสตมป์ไว้ในเม้าท์ ที่ผนึกบนอัลบั้มชีทและบรรจุในซองพลาสติก ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพของแสตมป์ให้มีความสมบูรณ์และมีอายุยืนนาน

เราจะทราบข่าวเกี่ยวกับแสตมป์ได้อย่างไร
จากวารสารตราไปรษณียากร เป็นวารสารรายเดือนที่ประกอบด้วยเนื้อหา สาระอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับแสตมป์ไทย และต่างประเทศ และจากข่าวตราไปรษณียากร แผ่นพับพิมพ์สอดสี ซึ่งให้ข่าวสารรายละเอียดเกี่ยวกับแสตมป์แต่ละชุดที่ออกในแต่ละปี

เราจะซื้อแสตมป์ได้จากที่ไหน
การสื่อสารแห่งประเทศไทยให้บริการจำหน่าย และจัดส่งแสตมป์ที่ยังไม่ได้ใช้ตามราคาที่ปรากฏอยู่บนดวงแสตมป์ ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สนใจจะหาซื้อแสตมป์ไว้สะสม นอกจากนี้ยังมีบริการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกบัญชีเงินฝาก ซึ่งจะได้รับแสตมป์ด้วยความถูกต้องแน่นอนและรวดเร็ว อีกทั่งยังได้รับประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

ฝรั่ง...ผลไม้ที่ถูกลืม

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย ให้ผลดีตลอดปี มีราคาถูก ทำให้เป็นผลไม้ไทยชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกันมาก เหตุที่เรียกว่า ฝรั่ง นั้นไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะชาวฝรั่งเศสเป็นผู้นำเข้ามาในประเทศไทยหรืออาจจะเรียกเพราะเมื่อผลสุกจะมีสีขาวนวลเหมือนคนฝรั่ง
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก จึงมีผลในการป้องกันโรคขาดวิตามินซีซึ่งจะทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณเหงือกที่เรียกว่า ลักปิดลักเปิด ฝรั่งมีวิตามิน เอ และซี "สูงกว่ามะนาวถึง 4 เท่า" จึงมีคุณค่าในการป้องกันโรคหวัดได้ดีอิกด้วย และนอกจากนี้ยังมี "การรับประทานฝรั่งเพื่อลดความอ้วน" เพราะการรับประทานฝรั่ง "ไม่เพิ่มน้ำหนัก" เนื่องจากให้พลังงานต่ำ จึงทานได้บ่อย ๆ ตามต้องการ แต่ถ้ากินมากอาจจะทำให้ท้องผูก ส่วนฝรั่งสุกอาจทำให้ท้องเสียได้
จากคัมภีร์สรรพคุณยากล่าวไว้ว่า ฝรั่งทั้งห้า (ดอก ผล ราก ใบ ต้น) มีรสฝาดแก้ท้องร่วง, บิด ใบ และผลแก้ท้องเสีย, บิด, ดับกลิ่นปาก กรมอนามัยได้ทำการศึกษาพบว่า นอกจากวิตามินเอ และซีแล้ว ฝรั่งยังมีวิตามินบี 1 บี 2 แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส เพคติน แทนนิน และมีเส้นใยสูง
ในปัจจุบันนี้ฝรั่งถือเป็นพืชสมุนไพร ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายทาง เช่น นำใบแก่ ๆ มาปิ้งไฟชงน้ำดื่มแก้อาการท้องเดินได้ หรือนำผลฝรั่งอ่อน ๆ เอาเฉพาะเปลือกกับเนื้อไม่เอาเมล็ด ใส่เกลือเล็กน้อยรับประทานหรือต้มน้ำใช้ดื่ม จะมีสารเทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน หยุดอาการท้องร่วงได้ ส่วนเพคตินและเส้นใยพืช จะช่วยป้องกันโรคท้องผูก มะเร็งลำไส้ ริดสีดวงทวาร และช่วยเคลือบลำไส้เล็กทำให้ดูดซึมน้ำตาลและไขมันน้อยลง จึงช่วยควบคุมเบาหวาน ลดไขมันในเลือด ช่วยไม่ให้ไขมันจับผนังหลอดเลือด ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
นอกจากนี้ใบฝรั่งยังมีสารฝาดสมานและน้ำมันหอมระเหยจึงสามารถนำใบฝรั่งมาทำน้ำยาดับกลิ่นปาก ถ้าใช้ใบสด 4-5 ใบ เคี้ยวให้ละเอิยดหลังรับประทานอาหาร อมไว้สักพักแล้วค่อยคายทิ้งจะช่วยลดกลิ่นอาหาร เหล้า บุหรี่ และช่วยในการลดการเกิดเหงือกอักเสบได้ด้วย
หลังจากรับประทานอาหาร มักจะมีเศษอาหารติดค้างอยู่ตามซี่ฟันมาก โดยเฉพาะอาหารพวกแป้งและคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่ ข้าว ขนมปัง ของหวาน อาหารพวกนี้จะติดฟันได้ง่าย ถ้าแปรงฟันไม่สะอาดจะทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ ที่เรียกว่า พลัค เกาะที่คอฟันบริเวณที่ชิดกับเหงือก
เชื้อจุลินทรีย์นั้นจะปล่อยสารพิษออกมาทำให้เหงือกอักเสบ มีหนอง เป็นผลทำให้เกิดมีกลิ่นปากเหม็น ทันตแพทย์จึงแนะนำให้แปรงฟันหลังอาหารหรืออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์
การรับประทานฝรั่งนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังจะ "ช่วยในการกำจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้" จากการศึกษาในกลุ่มนักศึกษาอาสาสมัครที่ไม่แปรงฟันเป็นเวลา 1-2 วัน เกิดมีคราบเกาะที่ฟัน แล้วให้มาเคี้ยวฝรั่ง เมื่อตรวจฟันหลังจากนั้น พบว่าคราบอาหารถูกกำจัดออกไปได้ดี จึงถือว่าการเคี้ยวฝรั่งนั้นเป็นวิธีที่ช่วยทำความสะอาดฟันได้ และยังช่วยลดกลิ่นปากด้วย
นอกจากฝรั่งแล้ว นับว่าโชคดีที่ประเทศเราอยู่ในเขตร้อนซึ่งมีผักผลไม้อิกหลายชนิดที่ให้รับประทานได้ตลอดปี มีราคาถูก รสอร่อย และมีวิตามินสูง ไม่ว่าจะเป็นสับปะรด แตงกวา แครอท ถั่วฝักยาว และอื่น ๆ ซึ่งถ้ารับประทานผลไม้หรือผักสดหลังอาหารจะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ช่วยในการทำความสะอาดช่องปาก ดีต่อสุขภาพเหงือกและฟันด้วย

ฝรั่งสีชมพู หรือ ฝรั่งขี้นก ... ผลไม้ที่ถูกลืม แต่กลับสูงด้วยคุณค่า

หากเอ่ยชื่อ ฝรั่งสีชมพู หรือ ฝรั่งขี้นก คนสมัยก่อนคงจะรู้จักกันดีว่า เป็นผลไม้ทรงกลม ขนาดปานกลาง ที่มีเนื้อทั้งสีขาว เหลือง ชมพู กลิ่นหอม แต่ส่วนมากแล้วผู้คนไม่ค่อยนิยมนำมารับประทานเพราะเนื้อค่อนข้างเละและไม่กรอบเหมือนฝรั่งลูกโตๆ ในปัจจุบัน ซึ่งหาไม่รู้ว่าฝรั่งผลเล็กเหล่านี้มีสารอาหารมากมายที่ให้ประโยช์นแก่สุขภาพ

สาระสำคัญที่มีอยู่ในฝรั่งสีชมพูนั้น
ไม่เพียงแต่มีวิตามิน A ที่ช่วยบำรุงร่างกายในเรื่องการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก และการสร้างเซลล์ และควบคุมอุณหภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยังมีวิตามิน C ที่มีมากกว่าส้มถึง 5 เท่าในปริมาณที่เท่ากัน
วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ที่มักเกิดจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ ฝุ่น และควันบุหรี่ และแสงแดด เสริมสร้างและรักษาสภาพของเนื้อเยี่อคอลลาเจน ทำให้ผิวสมบูรณ์แข็งแรง ช่วยสมานแผลและยังดีต่อเนื้อเยื่อของกระดูกและฟัน ดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง ทั้งยังมีใยอาหารที่ช่วยขับเคลื่อนอาหาร ลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ อีกทั้งมีแนวโน้มทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดต่ำ และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย
แต่คุณสมบัติที่โดดเด่นของฝรั่งสีชมพู คือ สารไลโคปีน ซึ่งมีมากรองจากมะเขือเทศ แต่มากกว่ามะละกอถึง 2 เท่า ว่ากันว่า ไลโคปีนประกอบด้วยการ Antioxidant ที่เรียกว่า แคโรทีนอยด์ ที่พบมากในผักและผลไม้ที่มีสีแดง ชมพู เช่น มะเขือเทศ ฝรั่งสีชมพู แตงโม มะละกอ มีสรรคุณต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแสงแดดไลโคปีนยังช่วยกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของเคราติโนไซต์ อันจะช่วยทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้น แต่ไลโคปีนก็ยังเก็บยากคล้ายวิตามิน C

ในยุคแรกๆ
ไลโคปีนอยู่ในรูปสารสกัดจะแปรปรวนและตกผลึกง่าย ไม่สามารถดูดซึมสู่ผิว แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถคงสภาพไลโคปีนด้วยการย่อขนาดโมเลกุลให้อยู่ในรูปของนาโนแคปซูล ไลโคปีนตามธรรมชาติมีหน้าที่ในการจับรังสียูวี แล้วแปลงให้อยู่ในรูปของพลักงานให้กับคลอโรพลาสต์ (คลอโรฟิลล์ในเซลล์ของพืช) เพื่อปกป้องพืชจากไฟโต-ออกซิเดชั่น เมื่อมีประสิทธิภาพเช่นนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงผันไลโคปีนเข้าสู่วงการเสริมความงาม ซึ่งไลโคปีนจะช่วยกระตุ้นระบบการฟื้นฟูผิว

อัมพวา

อัมพวาตลาดน้ำยามเย็น
ทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ในช่วงเวลาเย็น ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า ของอร่อยไม่น้อยชมหิงห้อยยามค่ำคืน
อำเภออัมพวามีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยก่อนเรียกกันว่า “แขวงบางช้าง” เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีความเจริญทั้งในด้านการเกษตร และการพาณิชย์ มีหลักฐานเชื่อได้ว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น แขวงบางช้างมีตลาดค้าขายเรียกว่า “ตลาดบางช้าง” นายตลาดเป็นหญิงชื่อน้อย มีบรรดาศักดิ์เป็นท้าวแก้วผลึก นายตลาดผู้นี้อยู่ในตระกูลเศรษฐีบางช้าง ซึ่งต่อมาเป็นราชินิกุล “ณ บางช้าง”
พ.ศ. 2303 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์โปรดเกล้าฯ ให้นายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ซึ่งเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ภายหลังหลวงยกกระบัตรได้แต่งงานกับคุณนาค บุตรีเศรษฐีบางช้าง และย้ายบ้านไปอยู่หลังวัดจุฬามณี

ต่อมาเมื่อไฟไหม้บ้านจึงได้ย้ายไปอยู่ที่หลังวัดอัมพวันเจติยาราม ปี พ.ศ. 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงยกกระบัตรจึงตัดสินใจอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ในป่าลึก ในระหว่างนี้ ท่านแก้ว (สมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์) พี่สาวของหลวงยกกระบัตร ได้คลอดบุตรหญิงคนหนึ่งตั้งชื่อว่า “บุญรอด” (ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์บรมราชินี ในรัชกาลที่ 2)
ในช่วงสมัยกรุงธนบุรี พระยาวชิรปราการได้รวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปหมด และสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าตากสิน หลวงยกกระบัตรได้อพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิมในช่วงนี้เองคุณนาคภรรยาก็ได้คลอดบุตรคนที่ 4 เป็นชายชื่อ ฉิม (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
หลังจากนั้นหลวงยกกระบัตรก็ได้กลับเข้ารับราชการอยู่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และได้ดำรงตำแหน่งจนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้นราชวงศ์จักรีเริ่มเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คุณนาคภรรยาจึงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ คุณสั้นมารดาคุณนาค ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระรูปศิริโสภาคมหานาคนารี

แต่เนื่องจากสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ทรงเป็นคนพื้นบ้านบางช้างมาก่อน จึงมีพระประยูรญาติต่างๆ ที่สนิทประกอบอาชีพทำสวนอยู่ที่บางช้าง เมื่อได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระอมรินทรามาตย์จึงนับเป็นราชินิกุล “บางช้าง” พระประยูรญาติจึงเกี่ยวดองเป็นวงศ์บางช้างด้วย และสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ มักทรงเสด็จเยี่ยมพระประยูรญาติเสมอ
จึงมีคำกล่าวเรียกว่า “สวนนอก” หมายถึง สวนบ้านนอก ที่เป็นของวงศ์ราชินิกุลบางช้าง ส่วนบางกอก ซึ่งเป็นส่วนของเจ้านายในราชวงศ์ก็เรียกว่า “สวนใน” มีคำกล่าวว่า “บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน” จนถึงใน สมัยรัชกาลที่ 4 จึงยกเลิกไป อัมเภออัมพวาจึงเป็นเมืองที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน
ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา เป็นตลาดริมคลอง ตั้งอยู่ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม (จอดรถที่วัดอัมพวันเจติยารามได้) ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ในช่วงเวลาเย็นตั้งแต่ช่วงเวลา 14.00 - 21.00 น. ในคลองอัมพวาจะมีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายอาหาร และเครื่องดื่ม เช่น หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ โอเลี้ยง ขนมหวานต่างๆ
และมีรถเข็นขายของบนบกด้วย บรรยากาศสบายๆ มีเพลงฟัง จากเสียงตามสายของชาวชุมชน ประชาชนสามารถเดินเที่ยวชมตลาดหาซื้ออาหารรับประทาน และเช่าเรือไปเที่ยวชมดูหิงห้อยในยามค่ำคืนได้
ล่องเรือชมหิ่งห้อย การล่องเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่มาพักมาเที่ยวสมุทรสงครามมักไม่พลาดที่จะไปชม โดยปกติแล้วหิ่งห้อยจะมีมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ควรเลือกชมในช่วงเวลาที่เป็นข้างแรมหรือคืนเดือนมืด เพราะเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ชัดเจนกว่าเวลาข้างขึ้น
นอกจากนี้ควรเลือกช่วงเวลาที่น้ำขึ้นมากเนื่องจากจังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเลน้ำจะขึ้น-ลง อยู่ตลอดเวลา ในช่วงน้ำขึ้นเรือสามารถเข้าไปใกล้กับต้นลำพูซึ่งหิ่งห้อยเกาะอยู่ ทำให้สามารถเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะนั่งเรือชมหิ่งห้อยประกายความงามยามค่ำคืน สามารถติดต่อเรือได้ ซึ่งทางชุมชนตลาดอัมพวาได้จัดบริการไว้ให้ที่ตลาดน้ำอัมพวา (ราคา 50-60 บาท/ท่าน) หรือจะติดต่อกับที่พักหรือโฮมสเตย์ต่าง ๆ ในอัมพวาก็ได้ โดยเรือจะล่องไปตามลำน้ำแม่กลองหรือคลองย่อยต่าง ๆ ที่มีต้นลำพูริมฝั่ง
ก่อนเช่าเรือ นักท่องเที่ยวควรตรวจสอบระยะทางการล่องเรือชมหิ่งห้อยกับผู้ให้บริการเสียก่อน เรือจะวิ่งไปตามแม่น้ำและลำคลองที่มืดหิ่งห้อยจะมีอยู่เป็นจุดๆ ในบริเวณที่แตกต่างกัน ถ้าหากผู้ให้บริการไม่มีความชำนาญในเส้นทาง และรู้แหล่งที่อยู่หรือให้บริการในเส้นทางที่สั้นเกินไปย่อมทำให้นักท่องเที่ยวเห็นหิ่งห้อยได้น้อย และควรใส่ชูชีพตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย สำหรับข้อปฎิบัติในการชมหิ่งห้อย คือ ไม่ควรส่งเสียงดัง และไม่จับหรือทำสิ่งใดที่รบกวนหิ่งห้อยโดยเด็ดขาด เพื่อให้ธรรมชาติถูกรบกวนน้อยที่สุดและมีหิ่งห้อยให้ชมไปนาน ๆ
ขับรถจากกรุงเทพไปชั่วโมงเศษก็ถึงแล้ว) ขออนุญาตชวนคุณไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ ตลาดน้ำที่ไหนๆ ก็มีแต่ตอนเช้า แต่ที่ตลาดน้ำอัมพวาเขาเรียกว่าเป็น "ตลาดน้ำยามเย็น" คือเริ่มตั้งแต่ตอนบ่ายสี่โมงไปยันพลบค่ำ ซึ่งจะมีทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ในคลองอัมพวาจะมีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำสินค้ามาขายมากมาย ทั้งก๋วยเตี๋ยว ผลไม้ พืชผัก ขนม กาแฟ ของกินของใช้ ฯลฯ นักกินนักเที่ยวอย่างเราๆ สามารถหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ที่ได้มีการจัดสถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากจะมีอาหารสารพัดชนิดให้เลือกชิมแล้ว ยังมีบรรยากาศห้องแถวเรือนไม้สองฟากคลอง ให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ห้องแถวเรือนไม้ทั้งสองฝั่ง เปิดรอให้นักท่องเที่ยวมาเดินชม เดินช็อปฯ ไม่ว่าจะเป็นขายของชำเก่าแก่ ร้านกาแฟโบราณ ร้านละของเล่นโบราณ ร้านโปสการ์ด ร้านเสื้อยืดเพ้นท์ลาย ร้านขายของที่ระลึกของแต่งบ้าน หรือจะเลือกลงเรือแจวชมทัศนียภาพสองฝั่งคลองก็ยังได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีก นั่นก็คือ การล่องเรือชมหิ่งห้อย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือชมหิ่งห้อย ส่องประกายความงามยามค่ำคืน หรือล่องเรือท่องเที่ยวตามลำน้ำแม่กลอง ใครเห็นแล้วชอบบรรยากาศ อยากพักค้างคืนที่คลองอัมพวา ที่นี่จะมีบ้านพักแบบ Home Stay เปิดให้บริการหลายแห่งด้วยกันค่ะ... จบทริปเที่ยวแบบไม่ต้องเสียเงินกับเราแล้ว ถ้าอยากไปลองชิมอาหารอร่อย สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตชุมชนริมน้ำอัมพวา ก็เตรียมตัวไปกันได้เลยค่ะ อย่าลืมดูวิธีการเดินทางให้ดีด้วยนะคะ การเดินทาง : - ทางรถยนต์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ถึง กม.ที่ 63 เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม ผ่านตัวเมือง จากนั้นเข้าทางหลวง 325 สมุทรสงคราม-บางแพ กม.ที่ 36-37 มาทางแยกซ้ายเข้าไปทางที่จะไปอุทยานฯ ร.2 ตลาดน้ำจะอยู่ใกล้กับอุทยานฯ ร.2 - รถประจำทาง จากสถานีขนส่งสายใต้ รถสาย 996 กรุงเทพฯ-ดำเนินฯ เป็นรถปรับอากาศ ผ่านจังหวัดสมุทรสงครามถึงตลาดอัมพวา รถสาย 976 กทม.-สมุทรสงคราม ถึงสถานีขนส่งสมุทรสงคราม ขึ้นรถประจำทางสาย 333 แม่กลอง-อัมพวา-บางนกแขวก ถึงตลาด

หัวหิน

หัวหิน-HuaHin
นับเนื่องแต่รางรถไฟสายใต้พาดผ่าน "บ้านสมอเรียง" เมื่อครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับแต่นั้นผู้คนจากพระนครก็เริ่มหลั่งไหลสู่หมู่บ้านริมฝั่งทะเลที่มีชายหาดสวยงาม และสงบเงียบแห่งนี้ พร้อม ๆ กับการหลั่งไหลความเจริญดังเช่น โรงแรมรถไฟ และ สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน สนามกอล์ฟแห่งแรกของไทย ซึ่งสวยงามและทันสมัยที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตลาดฉัตรไชย หมู่ตำหนักและบ้านเรือนน้อยใหญ่ของเจ้านายจากเมืองหลวง นับเป็นการเปิดตัวเมืองตากอากาศชายทะเลยุคแรก ๆ ของไทย เป็นที่รู้จักและเรียกขานในชื่อใหม่ "บ้านหัวหิน"
จวบจนปัจจุบัน
หัวหินถูกเลือกเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำหรับการไปตากอากาศ หัวหินนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่เก่าแก่ได้รับความนิยมเสมอมา ทุกวันนี้การไปเยือนหัวหิน ถือได้ว่าไปเยือนแหล่งอากาศที่คลาสสิก หัวหินในปัจจุบันพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ในขณะที่ชายหาดยังคงมีสภาพธรรมชาติ หาดทรายขาวสะอาดตา ความงดงามของชายหาดหัวหินยังคงอยู่ อากาศบริสุทธิ์ไม่ต่างจากวันวาน หัวหินจึงเป็นจุดหมายของนักเดินทางผู้แสวงหาการพักผ่อนที่แท้จริง
ก่อนหน้าที่ชื่อหัวหินยังไม่เกิด มีเรื่องเล่าขานกันว่าราวปี พ.ศ. 2377 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พื้นที่เกษตรกรรมบางแห่งของเมืองเพชรบุรีแห้งแล้งกันดารมาก ราษฏรกลุ่มหนึ่งจึงทิ้งถิ่นย้ายลงมาทางใต้ จนมาถึงบ้านสมอเรียงซึ่งอยู่เหนือขึ้นมาจากเขาตะเกียบและบ้านหนองแกหรือบ้านหนองสะแก ที่บ้านสมอเรียงนี้มีหาดทรายชายทะเลแปลกกว่าที่อื่นคือมีกลุ่มหินกระจัดกระจายอยู่อย่างสวยงาม ทั้งที่ดินก็มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับทำไร่ทำนาการประมง บรรพชนเหล่านี้จึงเป็นเสมือนผู้ที่ลงหลักปักเสาสร้างบ้านหัวหินขึ้น จนกลายเป็นหมู่บ้านที่เรียกกันแต่แรกว่า “ บ้านสมอเรียง ” พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร) เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สร้างตำหนักหลังใหญ่ชายทะเลด้านใต้ของหมู่หิน (ปัจจุบันอยู่ติดกับโรงแรมโซฟิเทลฯ) และประทานชื่อตำหนักว่า “แสนสำราญสุขเวศน์” ต่อมาทรงปลูกอีกหลังหนึ่งแยกเป็น แสนสำราญ และ สุขเวศน์ เพื่อไว้ใช้รับเสด็จเจ้านาย พร้อมกับทรงสร้างเรือนขนาดเล็กใต้ถุนสูงอีกหลายหลัง ซึ่งต่อๆ มาคือ “บังกะโลสุขเวศน์” ทรงขนานนามหาดทรายบริเวณตำหนักและหาดถัดๆ ไปทางใต้เสียใหม่ว่า “หัวหิน” เป็นคนละส่วนกับบ้านแหลมหินเดิม โดยมีกองหินชายทะเลเป็นที่หมายแบ่งเขต ซึ่งบ้านแหลมหินเดิมมีเขตด้านใต้ถึงเพียงแค่ต้นเกดใหญ่ชายทะเล (ปัจจุบันอยู่หน้าโรงแรมโซฟิเทลฯ มีศาลเทพารักษ์ใหญ่) เท่านั้น ไม่ถึงที่ดินของเสด็จในกรมฯ ครั้นเมื่อวันเวลาผ่านไป ชื่อ “หัวหิน” ก็แผ่คลุมทั้งหาดทั้งตำบลจนขยายเป็นอำเภอหัวหินส่วนที่ดินแปลงที่อยู่ตรงหมู่หินชายทะเล เป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งทรงสร้างตำหนักใหญ่ขึ้นถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือตำหนักขาว ครั้งหลังคือตำหนักเทาและเรือนเล็กอีกหลายหลัง ซึ่งก็คือบ้านจักรพงษ์ในเวลาต่อมา ปัจจุบันคือโรงแรมเมเลีย ซึ่งได้เปลี่ยนผู้ดำเนินการเป็นโรงแรมฮิลตันในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังไกลกังวล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ต้นราชสกุลบุรฉัตร ก็ได้จัดสร้างตลาดฉัตร์ไชยขึ้นในที่ดินพระคลังข้างที่ โดยออกแบบให้มีหลังคารูปโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน 7 โค้ง เพื่อสื่อความหมายว่าเป็นการสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 7 ทั้งตัวอาคารและแผงขายสินค้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตัวตลาดโล่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก และจัดว่าเป็นตลาดที่ถูกสุขลักษณะที่สุดของประเทศไทยในขณะนั้น ชื่อตลาดฉัตร์ไชยนี้มาจากพระนามเดิมของพระองค์ คือพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรนั่นเอง ต่อมาตลาดฉัตร์ไชยและโรงแรมรถไฟ หรือโฮเต็ลหัวหินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของชายทะเลหัวหิน ส่วนพระราชวังไกลกังวลนั้นถือว่าเป็นสถานที่อันควรสักการะบูชา มากกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนับตั้งแต่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้แล้วเสร็จ เชื่อมต่อกับชายแดนของประเทศมาเลเซีย หัวหินก็มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศอันลือชื่อของไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน ว่ายน้ำ ตกปลา และตีกอล์ฟเนื่องจากมีสนามกอล์ฟ หัวหินรอยัลกอล์ฟ ซึ่งจัดเป็นสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วยชื่อเสียงของหัวหินนั้น เติบโตเคียงข้างมากับโรงแรมรถไฟก็ว่าได้ ต่อมามีการสร้างบังกะโลขึ้นคือ เซ็นทรัลหัวหินวิลเลจ ซึ่งได้ถูกคัดเลือกให้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “Devil's Paradise” เช่นเดียวกับโรงแรมรถไฟหัวหิน ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “The Killing Fields” โดยเป็นการจำลองสถานที่คือ โรงแรมชั้นนำในกรุงพนมเปญในยุคสงครามที่มา http://www.huahin.go.thหัวหิน นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย อาจจะเป็นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สักวันถึงสองวัน เพราะหัวหินไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก นั่งรถไฟมาลงที่สถานีหัวหิน หาเช่ามอเตอร์ไซค์ สักคัน เปิดห้องพักแบบสบาย ๆ อาหารทะเลสด ๆ ตามร้านอาหารที่มีอยู่อย่างดาษดื่น เที่ยวชมตัวเมืองหัวหิน พอเริ่มรู้สึกว่าได้กลิ่นไอทะเล คุณก็สามารถที่จะเดินลงไปชมชายหาด ปล่อยอารมณ์ไปกับสายลมที่พัดผ่านไปมา หรืออาจจะลงเล่นน้ำทะเลก็ได้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง มีทางลงหาดอยู่ที่ถนนดำเนินเกษม สองข้างทางลงหาดมีโรงแรมและร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก หาดหัวหินมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ทรายขาวละเอียดเหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล
window.google_render_ad();

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน


รัชกาลที่ 6 โปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2466 ได้รับขนานนามว่า "พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง" ลักษณะเป็นพระตำหนักไม้สองชั้น หันหน้าออกสู่ทะเล พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด "พระที่นั่งสุนทรพิมาน" เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา "พระที่นั่งพิศาลสาคร" เป็นที่ประทับของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหมู่พระที่นั่งตรงกลางประกอบด้วยห้องต่างๆ สำหรับสำราญพระอิริยาบถ ห้องพักข้าราชบริพารที่คอยรับใช้ใกล้ชิด ห้องทรงพระอักษร และ "พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ " เป็นอาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่างๆ และเป็นโรงละคร ซึ่งเคยจัดแสดงละครครั้งสำคัญ 2 ครั้ง คือ เรื่องพระร่วง และวิวาห์พระสมุทร พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 16.00 น. สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะ ต้องทำหนังสือถึงผู้กำกับการกองบังคับการฝึกพิเศษ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โทร. (032) 471388 , 471130

พระราชวังบ้านปืน

พระราชวังบ้านปืน หรือ พระรามราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นพระราชนิเวศน์ สำหรับประทับแรมในฤดูฝน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่จากราษฎร และให้จอมพลเรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ออกแบบโดยมิสเตอร์คาลเดอริง ชาวเยอรมัน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2452 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท และทรงเปลี่ยนเป็น"พระรามราชนิเวศน์" ปี พ.ศ. 2461 ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรม โรงเรียนประชาบาลประจำตำบล ฯลฯ การเข้าชมต้องทำหนังสือล่วงหน้าถึงผู้บังคับการจังหวัดทหารบก กองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี 76000 หรืออาจติดต่อที่ป้อมยามแลกบัตรเพื่อขอเข้าชมอย่างไม่เป็นทางการ
สถานีรถไฟหัวหิน (พลับพลาสถานีรถไฟ)

"สถานีรถไฟหัวหิน" เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของไทย สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟแห่งนี้ คือ พลับพลาในแบบสถาปัตยกรรมไทยเด่นสะดุดตา ซึ่งได้ย้ายมาจากพระราชวังสนามจันทน์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 มีความสวยงามทางด้านสถาปัตย์และศิลป์ ซึ่งใครที่เห็นจะรู้สึกประทับใจ สถานียังคงเปิดให้บริการจวบจนทุกวันนี้ (ว้าว...)
เขาหินเหล็กไฟ

จุดชมวิวตัวเมืองและอ่าวหัวหินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยจุดชมวิวหลายจุด ที่สำคัญคือเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังมีศูนย์สินค้าพื้นเมือง สวนนก ร้านขายอาหาร และเครื่องดื่ม เป็นต้น ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 ก.ม. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการชมพระอาทิตย์ คือ ช่วงเช้าตรู่ และยังมีสวนสาธารณะไม้ดอก สวนผีเสื้อ อยู่บนเขา และมีจุดชมวิวเห็นตัวเมืองหัวหิน สนามกอลฟ์ และทะเล (ยืนชมวิวกับคนรักก็เก๋ไม่เบา อิอิ)
เขาตะเกียบ เขาไกรลาส

มีวัดตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งยื่นออกไปในทะเล ตั้งอยู่ห่างตัวเมืองทางทิศใต้ 6 ก.ม. ภายในบริเวณวัดร่มรื่น เย็นสบาย มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ เป็นจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอ่าวหัวหินที่งดงามมากจุดหนึ่ง รอบเขาตะเกียบนี้มีที่พักและร้านอาหารให้บริการหลายแห่ง และยังมีภูเขาลูกเล็กๆ 2 ลูกอยู่ใกล้กัน ห่างจากหัวหินไปทางใต้ประมาณ 14 กิโลเมตร เขาตะเกียบมีโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเล มีความสวยงามเหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด และยังมีจุดชมวิวสวยๆ อีกด้วย
หาดหัวหิน

ชายหาดอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักตากอากาศที่มีชื่อเสียงแห่งแรกของเมืองไทย ด้วยน้ำทะเลใส ทรายสะอาด บรรยากาศดี จึงเป็นที่ใฝ่ฝันและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมานานทุกยุคทุกสมัย
ตลาดโต้รุ่งหัวหิน
นับเป็นสีสันยามราตรีของหัวหิน ทุกเย็นมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนไปเสมอ เพราะเป็นแหล่งรวมแผงอาหารนานาชนิด ทั้งอาหารไทย อาหารทะเล ขนมไทย โรตีแขก ปรุงสดๆ ให้เลือกสรร นอกจากนั้นยังมีของที่ระลึกจำหน่ายมากมาย
ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว โทร.0-3253-2433 สำนักงานการท่องเที่ยวภาคกลางเขต 2 (ททท.) โทร. 0-3247-1005-6 สถานีตำรวจ โทร.0-3251-5995 ที่ทำการไปรษณ๊ย์ โทร. 0-3251-1063 สถานีกาชาดเฉลิมพระเกียรติ โทร.0-3251-10124 สถานีรถปรับอากาศหัวหิน โทร.0-3251-1654 สถานีรถไฟหัวหิน โทร.0-3251-1073 สถานีขนส่งหัวหิน (บขส.) โทร 0-3251-1230 ท่าอากาศยานหัวหิน โทร. 0-3252-0343 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.0-3251-3574 สถานีตรวจอากาศหัวหิน โทร.0-3251-1172 ศูนย์ร่วมด้วยช่วยกันหัวหิน โทร.0-3251-9111, 191 ข้อมูลการเดินทาง โดยรถยนต์ส่วนตัว ได้ 2 เส้นทาง - สายธนบุรี - ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.เพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านเพชรบุรี เข้าหัวหิน ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง - สายพุทธมณฑล ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประมาณ 3 ชั่วโมง โดยรถโดยสาร เริ่มต้นที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ รถปรับอากาศมี 2 ประเภท คือ ชั้น 1 และ ชั้น 2 รถปรับอากาศชั้น 1 จะจอดเฉพาะอำเภอที่สำคัญเท่านั้น ส่วนรถปรับอากาศชั้น 2 จะแวะจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางด้วย รถปรับอากาศชั้น 1 บ.พุดตานทัวร์ โทร.02-435-5302 บ.หัวหิน-ปราณทัวร์ 02-884-6191-2 บางสะพานทัวร์ 02-435-5105 รถปรับอากาศชั้น 2 รถร่วมบริการ 02-437-7414 โดยรถไฟ มีรถไฟไปหัวหินทุกวัน เริ่มที่หัวลำโพง โทร. 02-233-7010 , 02-223-7020 เริ่มที่สถานีธนบุรี-บางกอกน้อย โทร. 02-411-3104 โดยเครื่องบิน โดยบริษัทบางกอกแอร์เวย์ มีเที่ยวบินกรุงเทพฯ-หัวหิน วันละ 1 เที่ยว โทร. 02-229-3456-63